วันจันทร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2553



วันนี้ (11 เม.ย.) ในช่วงเวลาประมาณ 22.00 น. นายวิเชียร ขาวขำ ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย และสปอนเซอร์หลักในการจัดรถชุมนุมให้กับกลุ่มชมรมคนรักอุดรฯ ที่นำโดยนายขวัญชัย ไพรพนา ได้ขึ้นเวทีปราศรัยของคนเสื้อแดงบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ถ.ราชดำเนิน โดยระบุว่า คนเสื้อแดงกำลังจะตั้งรางวัลนำจับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐฒนตรี นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผู้บัญชาการทหารบก

ที่สำคัญ ส.ส.พรรคเพื่อไทยคนดังกล่าวยังกล่าวยุยงให้คนเสื้อแดงใช้ความรุนแรง โดยกล่าวว่าตนกำลังจะระดมทุนให้คนเสื้อแดงไปจับ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ.เพื่อมาแขวนคอที่สนามหลวง โดยรายละเอียดแบบคำต่อคำของการปราศรัยดังกล่าวมีดังนี้

“เราให้เวลาคุณ 3 วัน ถ้าคุณไม่รีบออกจากต่างประเทศ เราจะประกาศให้รางวัลนำจับทั่วประเทศ พี่น้องครับ รางวัลนำจับใครบ้าง ... รางวัลนำจับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หนึ่งคน ฉายานายเหงียนมาร์ค หนีทหาร ทรราชฟันน้ำนม ... นี่ฉายาไอ้อภิสิทธิ์ ... คนที่สองนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ฉายาทรราชหน้าดำ บ้าตัณหา ... คนที่สาม ไอ้สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ไอ้ลูกกรอกปีศาจ ทรราชเตี้ยหมาตื่น (เสียงเฮ)

“อีกคนที่สี่ ไอ้ ดร.ปณิธาน เขามีฉายาว่าไอ้ ดร.อันธพาล จอมลวงโลก สมุนทรราช พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไอ้ฮิตเลอร์เมืองไทย ... ไอ้ พ.อ.ไก่อู พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ไอ้โฆษกรับใช้ทาสเผด็จการ ... 3 คนนี้ ... พี่น้องครับ เดี๋ยวเราจะปรึกษากันว่า เราจะระดมทุนเป็นรางวัลนำจับ ไปเจอไอ้โฆษกสรรเสริญ แก้วกำเนิด นี่ให้จับมาส่งเสื้อแดง เอาไปแขวนคอสนามหลวง ไอ้สาทิตย์ วงศ์หนองเตย เหมือนกัน เพราะอะไรครับ สื่อสารต่างๆ นี่มันบังคับเขาหมด บังคับคนไปตรวจ ถ้าไม่ตรวจเข้าข้างรัฐบาล มันไปบล็อกเขาหมด ไอ้นี่ตัวเล็กนิดเดียวแต่มันบ้า เพราะฉะนั้นเราจะต้องดำเนินการกับพวกนี้ให้สิ้นซาก ... ” ส.ส.พรรคเพื่อไทยกล่าว

ก่อนหน้านี้ ในการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดง (นปช.) ณ ลานอเนกประสงค์ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา หนึ่งในแกนนำของคนเสื้อแดง คือ นายสุพร อัตถาวงศ์ หรือ “แรมโบ้อีสาน” ก็เคยกล่าวยุยงให้ผู้ชุมนุมจับกุมและแขวนคนบุคคลสำคัญมาแล้ว คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ โดยครั้งนั้นนายสุพรได้กล่าวว่า

“... และจุดจบของอำมาตย์ เปรม ติณสูลานนท์ ก็ไม่ต่างกับผู้นำอิรัก ที่ชื่อ ซัดดัม ฮุสเซน นั่นหมายความว่า จุดจบของอำมาตย์เปรม คือ ต้องถูกแขวนคอโดยประชาชน ที่ต้นมะขาม ท้องสนามหลวง (เสียงเฮ) เพราะสิ่งที่คุณทำนั้น คุณได้ทำลายบ้าน ทำลายเมือง ทำลายประเทศชาติ ประชาชน และคุณกำลังจะสั่งกองทัพ เข่นฆ่าประชาชนเป็นรอบที่สอง”

วันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2553

ถอดรหัสการหมิ่นเบื้องสูงในโลก Cyber



นี่คือหนึ่งในจำนวนคนที่หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ เข้าไป Post ข้อความที่เป้นการหมิ่นเบื้องสูงอย่างมิได้กลัวเกรงกฏหมาย ท้าทาย รัฐธรรมนูญ ซึ่งจุดประสงค์ของคนกลุ่มนี้ เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ ซึ่งในการเขียนบทความหรือการ Post ข้อความลงใน Website ใต้ดินเฉกเช่น Website นปช USA ที่โดนจับกุมไปเมื่อไม่นานมานี้ เนื้อหาจะมีการใช้รหัสลับหรือบางครั้งก้จะกล่าวถึงโดยตรงอย่างมิเกรงกลัวความผิดใด ๆ เลย การ Block ของกระทรวง ICT นั้นทำได้แค่ปลายเหตุการป้องกันนั้นยาก เป็นเพราะมีการปลุกระดมต่าง ๆ ฝังความเชื่อเรื่อง ชนชั้น จากกลุ่มคนเสื้อแดง ลามลุกไปในโลก Internet ซึ่งเป็นสื่อที่เข้าถึงได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายในยุคปัจจุบัน ซึ่งเยาวชนและคนกลุ่มเหล่านี้อาจจะไม่ได้รู้ถึงความยากลำบากของ สถาบันกษัตริย์ ที่ได้มีพระมหากรุณาธิคุณต่าง ๆ ในการสร้างชาติไทยขึ้นมา จะเห็นได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ากลัวว่า กลุ่มคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในประเทศไทย จะใช้กลุ่มเยาวชนเหล่านี้เป็นเครื่องมือ ตอบสนองความต้องการของตนเอง

* ข้อความที่กลุ่มคนเหล่านี้เผยแพร่ ไม่สามารถนำมา Post ได้เพราะจะเป็นการกระทำผิดกฏหมายซ้ำ ซึ่งมีความผิดตามกฏหมายรัฐธรรมนูญ

วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2553

จดหมายถึงคนเสื้อแดง จากผู้หญิงคนหนึ่ง

คุณเสื้อแดง ถ้าคุณเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเอง เพราะถูกนายทุน ข้าราชการและนักการเมืองท้องถิ่นของคุณเอาเปรียบ เราฟัง เราเห็นใจและพร้อมที่จะช่วยพวกคุณมาตลอด ไม่ว่าเกิดเหตุภัยพิบัติอะไร พวกเราชาวกทม.ก็ชวยเหลือบริจาคตลอด เพราะเรารู้ว่าคุณก้เป็นพี่น้องคนไทยเหมือนกัน

คุณเสื้อแดง ถ้าคุณเรียกร้องเพราะอดอยากทุกข์ยาก เพราะผลผลิตการเกษตรไม่ดี ไม่ได้ราคา ขาดทุน เราฟัง เราเข้าใจและพร้อมช่วยเหลือมาตลอด ซื้อผลไม้ในราคาสูงกว่าปกติ รณรงค์บริโภคสินค้าไทยของพี่น้องเกษตรของเรา ใช้ของที่ผลิตในประเทศ เพราะเรารู้ว่าทำอย่างนั้นแล้วจะช่วยให้พี่น้องชาวไทยทุกคนอยู่ ได้

คุณเสื้อแดง ถ้าคุณเรียกร้องต้องการให้ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม คนรวยรวยล้นฟ้า คนจนแทบไม่มีจะกิน เราฟัง เราเข้าใจ เราจะเรียกร้องพร้อมไปกับท่านด้วย เพราะพวกเราชาวกทม.ส่วนใหญ่เป็นคนชนชั้นกลาง มีรายได้น้อยค่าใช้จ่ายสูง หาเช้ากินค่ำ นั่งรถเมล์ เจอรถติด ดมควันพิษ และไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง...พวกเรามีปัญหาเหมือนพวกท่าน ถูกเอารัดเอาเปรียบทางสังคมเหมือนกัน พวกคนรวยนายทุนกดขี่เงินเดือนเรา โกงราคาสินค้าแพงแต่เราก้ต้องซื้อกิน...เพราะมันจำเป็น และเราก็อดทน ใช้เหตุผลแก้ปัญหาต่าง ประหยัดไม่ซื้อรถ ซื้อของแพง ไม่ซื้อมือถือให้ลูก ของไม่จำเป็นไม่ซื้อหรือซื้อของถูกไม่มีแบรนด์
ไม่เล่นหวย ใช้ชีวิตพอเพียงให้พอดีกับเงินที่ได้..เท่านั้น

คุณเสื้อแดง ถ้าคุณเรียกร้องความยุติธรรม แบบสงบ สันติ อหิงสา อย่างที่คุณพูด เราก็ปล่อยไม่ไปต่อต้านคุณดังที่ผ่านมาเกือบเดือนแล้ว ทั้งที่พวกเราลำบาก อึดอัด ลำบากแสนสาหัส เราก็อดทนเพื่อพี่น้องคนไทยเหมือนกันได้ระบายความในใจกันบ้าง.....แต่นี่...

พวกเสื้อแดง ได้สร้างนิยายเรื่อง อำมาตย์กับไพร่ กล่าวหาว่าคนกทม.เอาเปรียบคนต่างจังหวัด และดูถูกคนอย่างพวกคุณ พวกคุณดีแต่โยนความผิดให้คนอื่น ใครไปเอาเปรียบคุณบอกชื่อมาสิ...อย่าเหมารวม..อย่าอ้างความชอบธรรมคนเดียว นึกว่าตัวเองลำบากกว่าคนอื่นงั้นหรือ ดิฉันเชื่อว่าส่วนหนึ่งคงลำบากจริง...แต่ไม่ใช่เพราะคนกทม.แน่ ที่เอาเปรียบคุณ พวกเขาอยู่ที่นี่ทำมาหากินเลี้ยงครอบครัวก็จะแย่อยู่แล้ว กลับไปมองคนแถวบ้านคุณเองจะดีกว่า.......เสื้อแดงอีกส่วนหนึ่งที่ฉันเห็นที่มาอยู่กทม. ขายที่ดินตัวเองเพราะนายทุนซื้อได้ราคาดี เอาเงินมาซื้อรถกระบะ มือถือให้ลูก เล่นหวยเล่นการพนัน กินเหล้า..ซื้อของที่ไม่จำเป็นเป็นเงินผ่อน ติดหนี้บัตรเครดิต....ฯลฯ เยอะแยะ ถามจริงเถอะพวกเสื้อแดงแบบนี้เขาเรียกว่าอะไร ถ้าไม่ใช่..ควายแดง...

พวกเสื้อแดง ที่ยกย่องทักษิน หลงงมงายไม่ยอมรับความจริงว่าทักษินมันโกง ทั้งที่มีภาพว่าเขารวยจนซื้อเกาะ ซื้อบ้านใหญ่โตในต่างประเทศเยอะแยะ ลงทุนเหมืองเพชร ใช้ของแพง กินของหรู อยู่สุขสบาย มีเงินเป็นแสนๆล้าน รวยที่สุดในประเทศไทย...คุณก็ยังไปสงสารมัน ตามือบอด ใจบอด ไม่ยอมรับเหตุผลใดๆทั้งสิ้น.เห็นแก่ตัว..แล้วจะไม่ให้เราเรียกพวกคุณว่า...ไอ้โง่ควายแดง...ได้ไง

ไอ้พวกแกนนำเสื้อแดง ของพวกคุณทำหนังสือ เว็ปไซต์ พูดจาตอแหลโกหกใส่ร้ายในหลวง-ราชินี และองค์รัชทายาท จนกระทั้งลามไปถึงทั้งราชวงค์จักรี....ชั่วชาติไม่พอยังยกย่องทักษิน เป็นเจ้าอีก..ทั้งๆที่มันเป้นได้แค่ไอ้เจ๊กขายชาติ...แต่พวกคุณก็เชื่อ ยินดี ไม่มีใครสนใจความรู้สึกของในหลวง พวกคุณเหยีบย่ำหัวใจของชาวไทยทุกคน...แล้วยังจะมาเรียกร้องหาความยุติรรมอะไรอีกล่ะ...มาเรียกร้องประชาธิปไตยอะไรอีกล่ะ...ทั้งๆที่พวกคุณเป็นคนทำลายทุกอย่างลงหมดสิ้น.....แล้วอย่างนี้จะมาขอความเห็นใจอะไรอีกล่ะ...นอกจากความเกลียดชังจากคนไทยทั้งประเทศ....พวกคุณมันก็แค่ ไอ้คนไร้ค่า สารเลว โง่บรม เนรคุณ จังไร ขายชาติที่ใส่เสื้อสีแดงเท่านั้นเอง..........เท่านั้นจริงๆ...

โดย หญิงไทย เมื่อ 2010-04-08 22:00:40

วันอังคารที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2553

ฤๅ 3 เกลอ เป็นเพียงเบี้ย เศษเดนที่กำลังถูกขจัด?

ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต

ถึงวันนี้ ก็ชัดเจนยิ่งขึ้นแล้ว ว่ากองทัพเสื้อแดง มี 3 ส่วน ที่แยกกันทำงาน แยกกันตี แต่มีจอมทัพคนเดียว คือ “ทักษิณ”

1) “3 เกลอหัวขาด” เป็นเพียงแม่ทัพหน้า ผู้ทำหน้าที่จัดการแสดงด้วยการชุมนุม สร้างภาพ “สันติ อหิงสา” แต่สร้างความปั่นป่วน ข่มขู่ผู้คนที่เห็นต่าง กลั่นแกล้งคนกรุงเทพฯ ให้ได้รับความเดือดร้อน เสมือนจับคนกรุงเทพฯ เป็นตัวประกัน ปิดกั้นขัดขวาง สิทธิการเดินทาง สิทธิการประกอบอาชีพของคนอื่น แต่ยังอ้าง “สันติ อหิงสา”

2) “กองทัพใต้ดิน” ออกปฏิบัติการสร้างสถานการณ์ วางระเบิด โยนระเบิด ยิงปืนใส่สถานที่สำคัญๆ หวังให้เกิดการปั่นป่วน ผู้คนบาดเจ็บ อาจล้มตาย เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลอภิสิทธิ์ รวมทั้งข่มขู่รัฐบาลอยู่ในทีว่า หากไม่ได้ตามที่ต้องการก็จะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

3) พรรคการเมือง “เพื่อไทย” มีหน้าที่ทำงานในสภา เพื่อหาทางปั่นป่วนการประชุมสภา การบริหารราชการ เตะตัดขาทุกวิถีทาง ตั้งแต่ไม่เข้าประชุม ขัดขวางการประชุม หรือเวลาประชุมก็ใช้วิธีประท้วง กระทู้ยุแหย่ กล่าวร้าย โกหกบิดเบือน โดยที่การพัฒนากฎหมาย ญัตติ และการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน มิได้เป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย รัฐสภาและฝ่ายนิติบัญญัติ จึงกลายเป็นตัวถ่วง ไม่ให้ประเทศเดินหน้า ฝ่ายบริหารต้องพะวงอยู่กับการแก้เกมในสภา เสียทั้งเวลา เสียทั้งงบประมาณของรัฐสภา

ส.ส.พรรคเพื่อไทย ก็ผลัดเปลี่ยนขึ้นเวทีการแสดงของ 3 เกลอ โดยไม่เลือกว่าสิ่งที่พูดบนเวที จะขัดแย้ง เหมาะสมกับการทำหน้าที่ของ ส.ส.และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือไม่

ทั้ง 3 ส่วนข้างต้น มีแนวร่วมผสมโรง อย่างน้อย 3 ฝ่าย คือ

หนึ่ง พวกที่จงรักภักดีกับทักษิณ ที่หวังได้ประโยชน์และเคยได้ประโยชน์จากระบอบทักษิณ

สอง พวกอุดมการณ์ล้มเจ้า คอมฯ เก่า ที่ยังหลงยุคในปัจจุบัน มุ่งหวังยืมมือและคนของระบอบทักษิณ โดยหวังจะพลิกฟ้า คว่ำแผ่นดินให้ได้ในระยะยาว พวกนี้จะฉลาดพอที่จะรู้ว่าการแตกหักในระยะสั้น การยุบสภาเลือกตั้งใหม่ คงไม่ช่วยให้อุดมการณ์ของตนเป็นจริงในเวลารวดเร็ว แต่การกัดเซาะ บ่อนทำลาย น่าจะเป็นเป้าหมายที่มุ่งหวังมากกว่า

สาม ทหารรับจ้าง ส.ส.รับจ้าง และผู้ชุมนุมรับจ้าง ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติของผู้รับจ้างที่ยินดีทำตามนายจ้าง พฤติกรรมจึงไม่สลับซับซ้อน ให้ไปชุมนุมที่ไหนก็ไป ให้ปฏิบัติการวินาศกรรมที่ไหนก็บอก และจะให้ปั่นป่วนสภาตอนไหน เมื่อใด ก็ขอให้บอก.. จะจัดให้..

ความซับซ้อนของการเมืองเรื่องอำนาจ และการชิงอำนาจในประเทศไทย จึงยากที่จะเข้าใจ และยากที่จะทำนายว่ามันจะ “ลงเอยอย่างไร?”

ผมได้รับบทความที่เขียนโดยอดีตนายทหารอาวุโส ผู้มีประสบการณ์ในการทำปฏิวัติรัฐประหารมาแล้วหลายครั้ง ผู้เข้าใจการเมืองไทยดีคนหนึ่ง จนสามารถผ่านการเลือกตั้ง ได้เป็นประธานวุฒิสภามาแล้ว

อ่านบทความแล้ว ก็ได้แต่เป็นห่วงบ้านเมือง และคงจะเหมือนกับเจ้าของบทความ ที่อยากเห็นบ้านเมืองสงบ มีสันติสุข ผมจึงขอคัดลอกบทความของ “พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร” มาให้อ่าน เพื่อจะได้ช่วยกันคิดอ่าน กระทำให้บ้านเมืองเกิด “สันติ” ดังนี้

“ยุทธวิธีของ พคท.ในเสื้อแดง

เมื่อ 3 เกลอไม่ใช่ตัวจริงของ พคท. ขั้นตอนต่อไปจึงเป็นการดำเนินการเพื่อทำลายขบวนการ 3 เกลอ เมื่อทำลาย 3 เกลอแล้ว ตัวจริงของ พคท.จะขึ้นมาเป็นผู้นำทางการเมืองในขั้นตอนต่อไป

สถานการณ์ปัจจุบัน แนวร่วม พคท.ยังคงพยายามรักษาสถานการณ์ไม่ให้ทักษิณชนะทางการเมือง เพราะต้องการรักษาทักษิณไว้เป็นแนวร่วมของ พคท.ต่อไป (ปล.3 เกลอถูกโดดเดี่ยวจาก พคท. บูลินบูโลของเสื้อแดง) ให้ 3 เกลอถูกรัฐบาลเล่นงานเพื่อเป็นเงื่อนไขให้มีการเคลื่อนไหวต่อ

3 เกลอเป็นวีรชนเอกชนที่อยากดัง แต่มีคุณสมบัติไม่พอที่จะเป็นผู้นำทางการเมือง (การทำลาย 3 เกลอ มาจากภายในเสื้อแดงที่ส่งข้อมูลให้รัฐบาลเพื่อทำลาย 3 เกลอ ให้เกิดเงื่อนไขเพื่อที่จะขึ้นมานำทางการเมืองของกลุ่มเสื้อแดงแทน 3 เกลอ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดภาพปรากฏโดยทั่วไปว่า 3 เกลอถูกประชาธิปัตย์ทำลาย ให้ส่งผลสู่การเกิดเงื่อนไขใหม่ กล่าวคือ ยอมเสีย 3 เกลอ เพื่อให้เกิดการต่อสู้ทั่วประเทศ และให้มีเงื่อนไขในการต่อสู้ต่อไป)

จตุพร และณัฐวุฒิ จึงเปรียบเป็นได้เพียงเศษแดนของ พคท. เป็นวีรชนที่ต้องเสียสละเพื่อให้การต่อสู้ดำเนินต่อไปได้

โดยขั้นตอนต่อไป อาจมีการลอบฆ่าผู้นำเสื้อแดง เช่น จตุพร ณัฐวุฒิ เพื่อใช้เป็นเงื่อนไขในการปลุกระดมมวลชนเสื้อแดงให้ลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง หรือเรียกได้ว่าเป็นการจัดฉากเพื่อสร้างการจลาจลครั้งใหญ่

หมายเหตุ : นี่คือแนวทางการสร้างเงื่อนไขใหม่ เพื่อให้เสื้อแดงมีเงื่อนไขในการลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง ซึ่งจะสามารถสู้ได้อีกระยะหนึ่ง ดังนั้น สิ่งที่อันตรายที่สุดคือ การก่อวินาศกรรม การก่อวินาศกรรมเป็นการต่อสู้ที่ไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่จะทำให้บ้านเมืองตกอยู่ในสภาพเดียวกับภาคใต้ คือ มีการเข่นฆ่ากันเป็นเรื่องปกติซึ่งเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน แต่การเมืองไม่เปลี่ยน อำนาจรัฐไม่เปลี่ยน

การก่อวินาศกรรม คือการรักษารูปการต่อสู้ เหมือนการต่อสู้ของนักมวยบนเวที ซึ่งตั้งการ์ดแสดงไว้เพื่อให้รู้ว่า “กูยังสู้อยู่บนเวที”

การก่อวินาศกรรมจึงเปรียบเสมือนการทุบรัฐบาลจนน่วม แล้วจึงประกาศแนวทางและนโยบายทางการเมืองของฝ่ายเสื้อแดง ดังนั้น พคท.จึงต้องชนะทางการเมืองเสียก่อน แล้วจึงสามารถประกาศเขตการปกครองตัวเองได้

- พคท.จึงต้องมีกองทัพเป็นของตัวเองเพื่อเป็นหลักประกันชัยชนะ

- มีการเมืองที่นำเสนอได้ เช่น รูปแบบการปกครองเพื่อนำเสนอผลประโยชน์สูงสุดจนส่งผลให้ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย

หมายเหตุ : สถานการณ์ การก่อวินาศกรรม จะเปลี่ยนแปลงเป็นการก่อการร้ายในกรุงเทพฯ และทั้งประเทศไทย ดังนี้

1. กรุงเทพฯ และปริมณฑล ก็จะมีสภาพคล้าย 3 จังหวัดภาคใต้ (นราธิวาส, ยะลา และปัตตานี)

2. กรุงเทพฯ จะมีสถานการณ์รุนแรงขึ้น ถ้าแก้ไขไม่ได้ ก็จะเป็นคล้ายไซ่ง่อน เวียดนามใต้ ก่อนสิ้นสภาพ

3. ประเทศไทยจะคล้ายเขมร 3 ฝ่าย และสิ้นระบอบการปกครองที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ถ้าวันนี้ ไม่แก้ด้วยประชาธิปไตยแบบธรรมาธิปไตย”

ฤๅ 3 เกลอ เป็นเพียงเบี้ย เศษเดนที่กำลังถูกขจัด?

ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต

ถึงวันนี้ ก็ชัดเจนยิ่งขึ้นแล้ว ว่ากองทัพเสื้อแดง มี 3 ส่วน ที่แยกกันทำงาน แยกกันตี แต่มีจอมทัพคนเดียว คือ “ทักษิณ”

1) “3 เกลอหัวขาด” เป็นเพียงแม่ทัพหน้า ผู้ทำหน้าที่จัดการแสดงด้วยการชุมนุม สร้างภาพ “สันติ อหิงสา” แต่สร้างความปั่นป่วน ข่มขู่ผู้คนที่เห็นต่าง กลั่นแกล้งคนกรุงเทพฯ ให้ได้รับความเดือดร้อน เสมือนจับคนกรุงเทพฯ เป็นตัวประกัน ปิดกั้นขัดขวาง สิทธิการเดินทาง สิทธิการประกอบอาชีพของคนอื่น แต่ยังอ้าง “สันติ อหิงสา”

2) “กองทัพใต้ดิน” ออกปฏิบัติการสร้างสถานการณ์ วางระเบิด โยนระเบิด ยิงปืนใส่สถานที่สำคัญๆ หวังให้เกิดการปั่นป่วน ผู้คนบาดเจ็บ อาจล้มตาย เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลอภิสิทธิ์ รวมทั้งข่มขู่รัฐบาลอยู่ในทีว่า หากไม่ได้ตามที่ต้องการก็จะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

3) พรรคการเมือง “เพื่อไทย” มีหน้าที่ทำงานในสภา เพื่อหาทางปั่นป่วนการประชุมสภา การบริหารราชการ เตะตัดขาทุกวิถีทาง ตั้งแต่ไม่เข้าประชุม ขัดขวางการประชุม หรือเวลาประชุมก็ใช้วิธีประท้วง กระทู้ยุแหย่ กล่าวร้าย โกหกบิดเบือน โดยที่การพัฒนากฎหมาย ญัตติ และการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน มิได้เป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย รัฐสภาและฝ่ายนิติบัญญัติ จึงกลายเป็นตัวถ่วง ไม่ให้ประเทศเดินหน้า ฝ่ายบริหารต้องพะวงอยู่กับการแก้เกมในสภา เสียทั้งเวลา เสียทั้งงบประมาณของรัฐสภา

ส.ส.พรรคเพื่อไทย ก็ผลัดเปลี่ยนขึ้นเวทีการแสดงของ 3 เกลอ โดยไม่เลือกว่าสิ่งที่พูดบนเวที จะขัดแย้ง เหมาะสมกับการทำหน้าที่ของ ส.ส.และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือไม่

ทั้ง 3 ส่วนข้างต้น มีแนวร่วมผสมโรง อย่างน้อย 3 ฝ่าย คือ

หนึ่ง พวกที่จงรักภักดีกับทักษิณ ที่หวังได้ประโยชน์และเคยได้ประโยชน์จากระบอบทักษิณ

สอง พวกอุดมการณ์ล้มเจ้า คอมฯ เก่า ที่ยังหลงยุคในปัจจุบัน มุ่งหวังยืมมือและคนของระบอบทักษิณ โดยหวังจะพลิกฟ้า คว่ำแผ่นดินให้ได้ในระยะยาว พวกนี้จะฉลาดพอที่จะรู้ว่าการแตกหักในระยะสั้น การยุบสภาเลือกตั้งใหม่ คงไม่ช่วยให้อุดมการณ์ของตนเป็นจริงในเวลารวดเร็ว แต่การกัดเซาะ บ่อนทำลาย น่าจะเป็นเป้าหมายที่มุ่งหวังมากกว่า

สาม ทหารรับจ้าง ส.ส.รับจ้าง และผู้ชุมนุมรับจ้าง ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติของผู้รับจ้างที่ยินดีทำตามนายจ้าง พฤติกรรมจึงไม่สลับซับซ้อน ให้ไปชุมนุมที่ไหนก็ไป ให้ปฏิบัติการวินาศกรรมที่ไหนก็บอก และจะให้ปั่นป่วนสภาตอนไหน เมื่อใด ก็ขอให้บอก.. จะจัดให้..

ความซับซ้อนของการเมืองเรื่องอำนาจ และการชิงอำนาจในประเทศไทย จึงยากที่จะเข้าใจ และยากที่จะทำนายว่ามันจะ “ลงเอยอย่างไร?”

ผมได้รับบทความที่เขียนโดยอดีตนายทหารอาวุโส ผู้มีประสบการณ์ในการทำปฏิวัติรัฐประหารมาแล้วหลายครั้ง ผู้เข้าใจการเมืองไทยดีคนหนึ่ง จนสามารถผ่านการเลือกตั้ง ได้เป็นประธานวุฒิสภามาแล้ว

อ่านบทความแล้ว ก็ได้แต่เป็นห่วงบ้านเมือง และคงจะเหมือนกับเจ้าของบทความ ที่อยากเห็นบ้านเมืองสงบ มีสันติสุข ผมจึงขอคัดลอกบทความของ “พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร” มาให้อ่าน เพื่อจะได้ช่วยกันคิดอ่าน กระทำให้บ้านเมืองเกิด “สันติ” ดังนี้

“ยุทธวิธีของ พคท.ในเสื้อแดง

เมื่อ 3 เกลอไม่ใช่ตัวจริงของ พคท. ขั้นตอนต่อไปจึงเป็นการดำเนินการเพื่อทำลายขบวนการ 3 เกลอ เมื่อทำลาย 3 เกลอแล้ว ตัวจริงของ พคท.จะขึ้นมาเป็นผู้นำทางการเมืองในขั้นตอนต่อไป

สถานการณ์ปัจจุบัน แนวร่วม พคท.ยังคงพยายามรักษาสถานการณ์ไม่ให้ทักษิณชนะทางการเมือง เพราะต้องการรักษาทักษิณไว้เป็นแนวร่วมของ พคท.ต่อไป (ปล.3 เกลอถูกโดดเดี่ยวจาก พคท. บูลินบูโลของเสื้อแดง) ให้ 3 เกลอถูกรัฐบาลเล่นงานเพื่อเป็นเงื่อนไขให้มีการเคลื่อนไหวต่อ

3 เกลอเป็นวีรชนเอกชนที่อยากดัง แต่มีคุณสมบัติไม่พอที่จะเป็นผู้นำทางการเมือง (การทำลาย 3 เกลอ มาจากภายในเสื้อแดงที่ส่งข้อมูลให้รัฐบาลเพื่อทำลาย 3 เกลอ ให้เกิดเงื่อนไขเพื่อที่จะขึ้นมานำทางการเมืองของกลุ่มเสื้อแดงแทน 3 เกลอ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดภาพปรากฏโดยทั่วไปว่า 3 เกลอถูกประชาธิปัตย์ทำลาย ให้ส่งผลสู่การเกิดเงื่อนไขใหม่ กล่าวคือ ยอมเสีย 3 เกลอ เพื่อให้เกิดการต่อสู้ทั่วประเทศ และให้มีเงื่อนไขในการต่อสู้ต่อไป)

จตุพร และณัฐวุฒิ จึงเปรียบเป็นได้เพียงเศษแดนของ พคท. เป็นวีรชนที่ต้องเสียสละเพื่อให้การต่อสู้ดำเนินต่อไปได้

โดยขั้นตอนต่อไป อาจมีการลอบฆ่าผู้นำเสื้อแดง เช่น จตุพร ณัฐวุฒิ เพื่อใช้เป็นเงื่อนไขในการปลุกระดมมวลชนเสื้อแดงให้ลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง หรือเรียกได้ว่าเป็นการจัดฉากเพื่อสร้างการจลาจลครั้งใหญ่

หมายเหตุ : นี่คือแนวทางการสร้างเงื่อนไขใหม่ เพื่อให้เสื้อแดงมีเงื่อนไขในการลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง ซึ่งจะสามารถสู้ได้อีกระยะหนึ่ง ดังนั้น สิ่งที่อันตรายที่สุดคือ การก่อวินาศกรรม การก่อวินาศกรรมเป็นการต่อสู้ที่ไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่จะทำให้บ้านเมืองตกอยู่ในสภาพเดียวกับภาคใต้ คือ มีการเข่นฆ่ากันเป็นเรื่องปกติซึ่งเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน แต่การเมืองไม่เปลี่ยน อำนาจรัฐไม่เปลี่ยน

การก่อวินาศกรรม คือการรักษารูปการต่อสู้ เหมือนการต่อสู้ของนักมวยบนเวที ซึ่งตั้งการ์ดแสดงไว้เพื่อให้รู้ว่า “กูยังสู้อยู่บนเวที”

การก่อวินาศกรรมจึงเปรียบเสมือนการทุบรัฐบาลจนน่วม แล้วจึงประกาศแนวทางและนโยบายทางการเมืองของฝ่ายเสื้อแดง ดังนั้น พคท.จึงต้องชนะทางการเมืองเสียก่อน แล้วจึงสามารถประกาศเขตการปกครองตัวเองได้

- พคท.จึงต้องมีกองทัพเป็นของตัวเองเพื่อเป็นหลักประกันชัยชนะ

- มีการเมืองที่นำเสนอได้ เช่น รูปแบบการปกครองเพื่อนำเสนอผลประโยชน์สูงสุดจนส่งผลให้ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย

หมายเหตุ : สถานการณ์ การก่อวินาศกรรม จะเปลี่ยนแปลงเป็นการก่อการร้ายในกรุงเทพฯ และทั้งประเทศไทย ดังนี้

1. กรุงเทพฯ และปริมณฑล ก็จะมีสภาพคล้าย 3 จังหวัดภาคใต้ (นราธิวาส, ยะลา และปัตตานี)

2. กรุงเทพฯ จะมีสถานการณ์รุนแรงขึ้น ถ้าแก้ไขไม่ได้ ก็จะเป็นคล้ายไซ่ง่อน เวียดนามใต้ ก่อนสิ้นสภาพ

3. ประเทศไทยจะคล้ายเขมร 3 ฝ่าย และสิ้นระบอบการปกครองที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ถ้าวันนี้ ไม่แก้ด้วยประชาธิปไตยแบบธรรมาธิปไตย”

วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553

ชุมนุมไป..วีดีโอลิงค์ไป..ขว้างระเบิดไป!

สอดแนมการเมือง
โดย...ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย




หลังนักโทษชายหนีคุก ทักษิณ ชินวัตร ถูกศาลฯตัดสินยึดทรัพย์ 46,737 ล้านบาท

ทั้งที่เป็นเงินได้มาโดยไม่โปร่งใสชี้แจงที่มาที่ไปไม่ได้ แต่นักโทษหนีคุก ทักษิณ ชินวัตร ก็โกรธราวไฟบรรลัยกัลป์ จนต้องควักเงินก้อนมหึมาให้พวก 3 เกลอ กับสส.ทาสในพรรคตนว่าจ้างและหลอกผู้คนให้สวมเสื้อแดงมาชุมนุมกัน

เพื่อให้สะใจทักษิณ..ที่นับวันจิตวิปริตหนักขึ้น แถมกายก็ป่วยด้วยโรคร้ายแรงรุมเร้า ทักษิณกับพวกแกนนำเสื้อแดงเลยฝันเฟื่องว่า ครานี้..จะมีรถปิ๊กอัพนับแสนคันขนคนเสื้อแดงเป็นล้านมาชุมนุมใหญ่กันที่..บางกอก!

ท่ามกลางการชุมนุมของคนเสื้อแดง ทักษิณมักใช้วีดีโอลิงค์จ้อมาจากต่างประเทศ เพื่อด่ากราดอำมาตย์ใหญ่น้อย รวมทั้งปลุกระดมคนเสื้อแดงให้ลุกขึ้นสู้-สู้-สู้ สู้เพื่อผลประโยชน์ของตัวกู(ทักษิณ) สู้เพื่อยึดอำนาจรัฐกลับมาสู่กำมือกู(ทักษิณ)อย่างเปิดเผยแทบทุกค่ำคืน

ตำรวจ“หน้าเหลี่ยม”ที่จบวิชาอาชญวิทยา ย่อมไม่เล่นไพ่หน้าเดียวอย่างแน่นอน ดังนั้น..ประเทศไทยจึงเกิดเหตุการณ์พร้อมๆกันหลายอย่าง นั่นคือ มีทั้งการจ้างและหลอกคนเสื้อแดงให้มาชุมนุมป่วนกรุงเทพอย่างสันติฯ โดยมีนักโทษชายหนีคุกก่อการร้ายด้วยปากผ่านวีดีโอลิงค์ จาบจ้วง-ให้ร้ายป้ายสี-สถาบันสูงสุดอย่างเปิดเผย รวมทั้งใช้กองกำลังลับๆก่อความรุนแรงด้วยอาวุธสง
ครามนานาชนิด

ดังนั้น รอบนอกที่ชุมนุมของคนเสื้อแดง จึงมี“มือมืด”ขว้างระเบิด-ยิงปืนเล็ก-ยิงปืนใหญ่เอ็ม79 เข้าใส่สถานที่..ที่ทักษิณถือเป็นปรปักษ์ เช่น ธนาคารกรุงเทพ บ้านของประธานศาลปกครอง ศาลากลางจังหวัดนนทบุรี สถานที่ราชการของศาลสถิตยุติธรรม ตึกปปช. มูลนิธิรัฐบุรุษของพล.อ.เปรม และที่อื่นๆอีกกว่า 20 ครั้งแล้ว!


วันนี้สังคมไทยและสังคมโลกต่างรับรู้ว่า ทักษิณกระทำความผิดในห้วงเป็นรัฐบาลบริหารชาติ เป็นนักโทษที่หลบหนีคดีอาญาตะลอนอยู่ในต่างประเทศ และใช้เงินจ้างคนชั่วกลุ่มหนึ่งมาเป็นกองกำลังส่วนตัว ทำการก่อการร้ายเผาบ้านเผาเมือง จนเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติไทย

ทักษิณมีเป้าหมายล้มล้างรัฐบาอภิสิทธิ์-ล้มอำมาตย์ ทักษิณทำศึกหวังยึดอำนาจรัฐกลับคืนมาไว้ในกำมือ เพื่อใช้อำนาจรัฐมาแก้ความผิดทั้งปวงจากการโกงชาติของตน และแสวงหาผลประโยชน์เท่านั้นเอง

กองกำลังของคนเสื้อแดงน่ากลัวไหม? ไม่เลย..เพราะกองกำลังเสื้อแดงนั้นไร้ความชอบธรรม เพราะสู้เพื่อคนชั่วเพียงคนเดียว การชุมนุมคราครั้งนี้..จึงไม่มีคนเสื้อแดงมาเป็นล้าน ดังคำคุยโม้คุยโตของทักษิณและพรรคพวก เพราะระดมกันอย่างเต็มที่แล้ว..ก็มาได้สูงสุดแค่ 7-8 หมื่นคนเท่านั้น และการชุมนุมนับวันอ่อนแอลงเรื่อยๆ

แต่น่าตลก..ที่นายกฯอภิสิทธิ์ซึ่งหวังเพียงสร้างภาพพจน์ ในความเป็นนักประชาธิปไตยที่ใจกว้าง กลับดันลดตัวลงไปนั่งเจรจากับหุ่นเชิดทักษิณ ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าวีระ-เหวง-จตุพร เป็นแค่ทาสน้ำเงินที่ไม่มีอำนาจเด็ดขาด ในการตัดสินชี้ขาดการชุมนุมของคนเสื้อแดง

การเจาจร 2 ครั้ง จึงเป็นแค่การแสดงละคร เป็นโอกาสทองให้ลูกสมุนผู้ก่อการร้ายทักษิณ มานั่งซักฟอกนายกฯอภิสิทธิ์ถ่ายทอดสดออกทีวีพูล โดยมีนายกฯรูปหล่อนั่งแก้ต่างข้อกล่าวหาของ 3เกลออยู่ตลอดเวลา ฯลฯ

นายกฯอภิสิทธิ์ทำได้แค่โชว์ความสามารถ ในการแก้ข้อกล่าวหาของ 3 เกลอเก่ง โชว์ภาพความเป็นผู้ดีที่เหนือกว่า 3 เกลอราวฟ้ากับเหวเท่านั้นเอง ทั้งๆที่ผู้คนในสังคมต่างรู้แจ้งกันอยู่แล้วว่า นายกฯอภิสิทธิ์เป็นคนดี ภาพดี ความรู้ดี กว่าบรรดา 3 เกลออย่างชนิดไม่ติดฝุ่น ดังนั้น..การเจรจาจอมปลอมแบบนี้ จึงไม่มีวันจะแก้ปัญหาให้บ้านเมืองสงบลงได้เลย!

สุดท้ายนายกฯอภิสิทธิ์ต่างหากที่เพลี่ยงพล้ำ เสียทีหลุดปากจะยุบสภาในอีก 9 เดือนข้างหน้า ทั้งๆที่เวลาครบเทอมของรัฐบาลนี้ยังเหลืออีก 1 ปี 9 เดือน

การยุบสภาในสภาวะที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ยังแก้ปัญหาทักษิณไม่ได้ ทักษิณยังทำผิดกฏหมายและยังลอยนวลป่วนบ้านป่วนเมือง การยุบสภากลับจะยิ่งสร้างปัญหาเพิ่มขึ้น-ยุ่งยากมากขึ้น-บานปลายหนักขึ้นในอนาคต

ที่สำคัญการยุบสภา..ต้องเป็นความขัดแย้ง ระหว่างรัฐสภากับฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล แต่นายกฯอภิสิทธิ์กลับหลงไปเจรจาเรื่องยุบสภากับกลุ่มคนเสื้อแดง สุดท้ายก็แพ้พ่าย..ถูกบีบคั้นรุกไล่จนต้องยอมยุบสภาก่อนเวลาอันควร แม้นจะมิได้ยุบสภาภายใน 15 วันตามคำขาดของคนเสื้อแดง แต่ก็ต้องยุบสภาในอีก 9 เดือนข้างหน้ามิใช่หรือ?!

รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็รู้อยู่แก่ใจว่า ทักษิณและขบวนการคนเสื้อแดงนั้น มิใช่ขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แถมยังเคยกระทำความผิดถึงขั้นเผาบ้านเผาเมืองมาแล้ว เท่านั้นไม่พอ..ยังมีขบวนการล้มเจ้าล้มพระมหากษัตริย์ซ่องสุมทำงานอยู่ด้วย

แทนที่นายกฯอภิสิทธิ์จะใช้กฏหมายอย่างเคร่งครัด ดำเนินการให้บ้านเมืองกลับคืนสู่ความสงบ ใช้เวลาที่เหลือ 1 ปี 9 เดือน ปฏิรูปการเมืองไทยครั้งใหญ่พร้อมๆไปกับการปฏิรูปสื่อ รวมทั้งขจัดการซื้อสิทธิขายเสียงก่อนจะมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ ฯลฯ

นายกฯอภิสิทธิ์กลับดันไปยกระดับผู้ก่อการร้าย ที่กระทำผิดกฏหมายเหล่านั้น ด้วยการลดตัวลงไปเจรจาด้วยกับทาสน้ำเงิน เพียงเพราะต้องการสร้างภาพพจน์ความเป็นนักประชาธิปไตยเท่านั้น

ผลลัพธ์..ก็คือ..ละครการเจรจาล้มเหลว สะท้อนให้เห็นถึงรัฐบาลอภิสิทธิ์แก้ปัญหาไม่ตรงจุดหรือทำงานไม่เป็น เพราะการแก้ปัญหาทักษิณป่วนเมืองนั้น ต้องแก้ไขด้วยการใช้สื่อของรัฐทุกมิติที่มีอยู่อย่างมากมาย เสนอเนื้อหาข้อเท็จจริงให้ประชาชนคนไทย ได้รับรู้ถึงความชั่วร้ายของทักษิณและพลพรรค ด้วยรูปแบบที่ชวนติดตามมีเหตุมีผลอย่างรอบด้าน

สงครามสื่อ..คือ..สงครามที่ช่วยไม่ให้เกิดสงครามหลั่งเลือด สงครามสื่อเป็นสงครามที่ลดหรือขจัดความแตกทางความคิดของผู้คนในสังคม สงครามสื่อ..เป็นการทำสงครามความจริงทำลายความเท็จ สงครามสื่อ..เป็นสงครามดึงมวลชน..ใครทำความเข้าใจได้ดีกว่า ก็จะได้ครองใจประชาชนคนส่วนใหญ่ครับ

นายกฯอภิสิทธิ์นอกจากไม่ใช้สงครามสื่อ กระจายความจริงไปสู่ประชาชนแล้ว ยังปล่อยให้ทักษิณใช้สื่อ ส่งเชื้อร้ายแห่งความโป้ปดมดเท็จกระจายไปสู่ประชาชนอย่างเสรี โดยไม่ดำเนินการยับยั้งหรือใช้กฏหมายยุติการแพร่ความเท็จเหล่านั้นเลย

จึงไม่น่าแปลกใจที่คนไม่รู้เท่าทันทักษิณ จึงถูกหลอกมากขึ้น..ขบวนการคนเสื้อแดงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ขบวนการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง จึงเหิมเกริมขยายตัวทั้งลับและเปิดเผยมากขึ้น ด้วยรัฐบาลอภิสิทธิ์อ่อนแอและละเลยต่อหน้าที่ในฐานะรัฐบาล มิได้ใช้กฏหมายอย่างตรงไปตรงมา รัฐบาลอภิสิทธิ์ดำรงอยู่เพียงแค่รักษาสถานะ ให้รัฐบาลของตนอยู่รอดไปวันๆเท่านั้นเอง

สภาพรัฐบาลอ่อนแอ-ขลาดเขลา-ไม่กล้าใช้ตัวบทกฏหมาย จัดการลงโทษขบวนการคนชั่ว ที่ป่วนบ้านเมือง ไม่ยอมใช้อำนาจรัฐสร้างความสงบสันติให้กับสังคมอย่างรัฐบาลอภิสิทธิ์ จึงมีคำถามผุดขึ้นมากมายว่า..แล้วเราจะมีรัฐบาลหน่อมแน้มอย่างนี้ไปทำไมกันล่ะ..?

วันนี้..สังคมไทยเลยจมอยู่ในห้วงทุกข์ เพราะมีคนเสื้อแดงทำผิดกฏหมายเกลื่อนเมือง มีทักษิณวีดีโอลิงค์ด่าอำมาตญ์สนุกปากทุกวัน มีมือมืดขว้างระเบิด-ยิงปืนเล็ก-ปืนใหญ่กันสนุกมือ ส่วนนายกฯอภิสิทธิ์ก็ทำได้แค่ตั้งรับ และลดตัวลงเจรจากับลูกทาสของทักษิณเท่านั้นเองหรือ?

รัฐบาลอภิสิทธิ์..ยังสบายดีหรือ ที่ปล่อยให้ชาติไทยถูกคนชั่วไม่กี่คนครองเมือง ดังทุกวันนี้..เอวังด้วยประการฉะนี้แล..?

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000046129

วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

จดหมาย เปิดผนึก ถึง "จตุพร พรหมพันธุ์"




จดหมาย เปิดผนึก ถึง "จตุพร พรหมพันธุ์"

ถึง คุณจตุพร พรหมพันธุ์

จาก เจ นิวยอร์ก

ผมไม่ชอบที่ในการเจรจาของคุณ ที่คุณชอบใช้คำว่า "คนไทย" โดยบอกว่า คนไทยไม่ชอบอย่างนั้น คนไทยไม่ชอบอย่างนี้ ผมต้องชี้แจงว่า ผมเป็นคนไทย "คนไทยแท้" แต่ผมไม่ใช่พวกคุณ ถ้าคุณจะบอกว่าพวกคุณไม่ชอบที่มาของการแต่งตั้งนายก ของนายอภิสิทธิ์ ก็ไม่ต้องใช้คำว่าคนไทย เพราะคนไทยเกือบครึ่ง หรือกว่าครึ่งไม่ได้เห็นด้วยกับคุณ ถ้าจะอ้างถึงกลุ่มของคุณ ขอให้คุณระบุไปเลยว่า "คนไทยทาสทักษิณ" หรือ "คนไทยหัวใจกัมพูชา" แต่อย่ามาแอบอ้างชื่อคนไทยแท้ที่รักชาติมากกว่าเศษเงินคนขายชาติอย่างพวกผม

การ เจรจาของคุณในวันทีสองนี้ (29 มี.ค.) คุณได้ข่มขู่นายกอภิสิทธิ์ ตั้งแต่เริ่มเจรจา ว่าอาจจะมีการนองเลือดแล้วนายกจะอยู่ไม่ได้ คุณเอาเลือดเนื้อ/ชีวิต ผู้บริสุทธิ์มาเป็นตัวประกัน เพื่อเรียกค่าไถ่แลกกับการยุบสภา ขอถามว่าคุณต่างอะไรกับโจรจี้เครื่องบินเพื่อเรียกร้องบางสิ่งบางอย่าง คุณเรียกตัวเองว่านักประชาธิปไตย แต่ผม "คนไทยแท้" คิดว่าการกระทำของคุณไม่ต่างอะไรกับโจร

นายกอภิสิทธิ์ ได้ถอยมาก้าวหนึ่งแล้ว ลงมานั่งเจรจากับคุณ เพราะไม่ต้องการเห็นความขัดแย้ง หรือสูญเสียในชีวิตของประชาชน แต่คุณได้รับคำสั่งให้มาเรียกค่าไถ่จากประเทศไทย โดยการยุบสภา ซึ่งจะทุบเศรษฐกิจไทย และความเชื่อมั่นจากต่างชาติ แล้วการยุบสภาก็จะไม่ได้แก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ปัญหาเศรษฐกิจ หรือปัญหาใดๆ ก็ตาม นอกจาก จะนำมาเพื่อความหวังให้เจ้านายของคุณได้เงินคืน และได้รับนิรโทษกรรม

ฉะนั้น หากประชาชนที่คุณนำมาเป็นตัวประกัน ต้องสูญเสียเลือดเนื้อหรือชีวิต ผมและประชาชนอีกหลายล้านคนจะรับรู้ว่าคุณเป็นคนทำร้ายคนเหล่านี้ คุณเป็นโจรเรียกค่าไถ่ ซึ่งเมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ก็ฆ่าตัวประกัน หรือนำประชาชนผู้บริสุทธิ์ไปตาย ผมคิดว่าเสื้อแดงที่รับจ้าง คงไม่ยอมไปตาย นอกจากเสื้อแดงที่เชื่อในลัทธิของคุณอย่างบริสุทธิ์ใจ

และยังข่มขู่ นายกอภิสิทธิ์ว่าหากมีการปะทะ เสียเลือดเนื้อ นายกก็จะอยู่ไม่ได้ ผมจะบอกว่า คุณก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน หากมีการสูญเสียชีวิตคุณน่ะแหล่ะที่ต้องรับผิดชอบมากที่สุด

การเจรจา ในครั้งนี้ก็เห็นแล้วว่า คุณไม่ได้ใช้สมองมากนัก คุณไม่เหมาะจะมานั่งเจรจาแบบวิชาการ แต่เหมาะที่จะเป็นทาสทักษิณต่อไป เพราะทักษิณชอบคนใช้สมองน้อย ควบคุมง่าย ส่งไปตายแทนได้ การที่คุณเอาเรื่อง NAFTA และเรื่องเงินกู้มาพูดในที่เจรจาโดยไม่จำเป็น ทั้งยังไม่มีข้อมูลที่แท้จริง คุณอ้างว่านายกอภิสิทธิ์กู้เงินมากกว่าในยุคใดๆ จึงโดนท่านนายกตอกกลับว่าสมัยพ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกนั้น มีการกู้เงินมากกว่านี้

ในเวทีเสื้อแดง คุณจะพูดโกหกหลอกลวงยังไงก็ได้ เพราะประชาชนไม่มีข้อมูลที่แท้จริง คุณหลอกได้เฉพาะคนที่ไม่รู้ แต่ในโต๊ะเจรจานั้นเห็นได้ชัดว่าคุณไม่มีความรู้เลย สิ่งที่คุณพูดมาเกินครึ่งเป็นความเท็จ เป็นข้อมูลที่ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ และพอนายกชี้แจงออกมา ก็จะเห็นได้ว่าคุณเป็นฝ่ายจนแต้ม

ผมขอเขียน แค่นี้ก็แล้วกัน เพราะไม่ต้องการเสียเวลากับคุณมากนัก

เจ นิวยอร์ก

ThaiNewYork.com รายงาน

วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553

"โล่มนุษย์"ที่ทักษิณฉุดมาใช้"ทำศึก" โดย เปลง สีเงิน 31 มีนาคม 2553

ทักษิณเอ๋ย....เวลาของคนเสื้อแดงยังมีอีกมาก แต่เวลาสำหรับ "ชีวิตท่าน" มันเหลือน้อยเต็มทีแล้ว ๑๕ วัน - ๓ เดือน - ๙ เดือน เป็นตัวเลขต่อรอง "ยุบสภา" ของรัฐบาลกับ ๓ แกนนำ แต่เวลาชีวิตท่านจะต่อรองได้หรือไม่ ใครก็ตอบไม่ได้นอกจากจ้าวแห่งนรกหรือสวรรค์เท่านั้น ผมเคยบอกว่า ๕ เดือน แต่ถ้านับจากเมษานี้ไป ตัวเลข ๔ เดือน ซึ่งจะตกประมาณเดือนกรกฎา-สิงหา เป็นไง......

ท่านพอใจมั้ย?

ม็อบเสื้อแดงของท่านที่ตั้งด่านอยู่ ณ ปากทางเข้าประตูผีในวันนี้ จะอดทนรอคอยถึงวันนั้น คือประมาณกรกฎา-สิงหา เพื่อส่งท่านไปสู่ ณ ที่ซึ่งไม่มีใครได้ตามพบตลอดกาลหรือไม่ ผมไม่สามารถเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจพี่น้องเสื้อแดงแต่ละคนจนล่วงรู้ความคิดเขาได้หรอก!

ผมว่าเวลานี้ ท่านค้าแรงงานทาสจนเกินควรมากไปแล้ว ระวังนะครับ เผลอๆ ชาวบ้านเสื้อแดงจะไปร้องกระทรวงแรงงานให้จับท่าน โทษฐานหลอกมนุษย์มาใช้เหมือนควายกลางทุ่ง

หนอย..ก่อนขึ้นรถมาจากต่างจังหวัด บอกกินฟรี อยู่ฟรี มีเงินแถมหัวละ ๒,๐๐๐ และมีรถบริการพร้อม แต่พอมาถึงลานชุมนุมปากทางเข้าประตูผีให้นอนกลางถนน กินกลางถนน ขี้-เยี่ยวกลางถนน จนไม่แน่ใจว่าจะพามาเป็นม็อบหน้าม้า หรือจะทำปลาร้ามนุษย์เสื้อแดงตากแดด ก่อนส่งไปตีตลาดมอนเตเนโกร?

แล้วเหมือนมัดมือชก ต้องซื้อสินค้าเครื่องแบบแดง ต้องจ่ายค่าทำบัตร นปช. ครบ ๓ วัน "ปล่อยเกาะ" เสียอีก ใครอยากกลับให้หาทางกลับเอาเอง แถมข้าวปลาอาหารก็ต้องบริการปากด้วยการหาซื้อกินกันเอง

เขาไม่มีเลี้ยงหรือ...มีครับ มีสักแต่ว่ามี เช้าขึ้นมาจะมีรถผักจากตลาดไทเอาผักหญ้ามาโยนทิ้งไว้ให้ในแต่ละจุด เหมือนเอาหญ้ามาเลี้ยงควายตามท้องถนนที่คนนอนหมดอาลัยตายอยากประหนึ่งตายซากค้างปี กลุ่มใคร-พวกใครก็เอาไปทำกิน "เสี่ยงตาย" กันเอง

มนุษย์นะครับ ไม่ใช่ควาย แล้วใครจะไปกินลง!?

ต้องเข้าใจว่าชาวบ้านที่มา "เขาก็คนเหมือนทักษิณ" แล้วทักษิณหรือแกนนำที่ตะโกนเรื่องชนชั้นน่ะ มากินอย่างที่สาดส่งให้ชาวบ้านเขากินได้ทุกวัน-ทุกมื้อมั้ย เป็นเพราะผู้ทรงอิทธิพลถิ่น "สมุนทักษิณ" ในแต่ละตำบล-อำเภอ-จังหวัด ขอร้องแกมบังคับให้เขามาหรอก เขาจึงจำต้องมา ไม่งั้นจะเข้าพวก-เข้าหมู่อยู่ไม่ได้

ครั้นมาแล้ว "ชักหัวคิวกันไปแล้ว" ก็ปล่อยทิ้งเขาเหมือนแมว-เหมือนหมา!

ปัญหาที่คนเสื้อแดงกำลัง "หมดศรัทธาทักษิณ" ก็จากเรื่องอยู่-เรื่องกินที่ถูกหลอกนี่ด้วย จะมาอ้างทำไมว่าต่อสู้เพื่อชนชั้นสู่ความเสมอภาค ก็ทักษิณและลูก-เมียเคยให้แดดเลียผิวมั้ย แถมพวกแกนนำ กิน-ถ่าย-ก่าย-นอน อยู่ในเต็นท์ติดแอร์ ส่วนพวกชาวบ้านที่หลอกมา ให้นอนแผ่ตากแดดกลางถนนเหมือนมิใช่คนอย่างที่เห็น!?

บอกมา ๓ วัน นี่...หลอกคนบ้านนอกหลงกรุงจะครบ ๓ อาทิตย์อยู่แล้ว สามอาทิตย์ก็ตก ๒๑ วัน จ่ายไปหัวละ ๒,๐๐๐ เฉลี่ยเป็นวันแล้ว "ค่าสวมเสื้อแดงมาชุมนุม" ตกวันละ ๙๕.๒๓ บาท/หัว ค่ากิน "ตัวใคร-ตัวมัน"

แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผมพูดว่า "ทักษิณสั่งสมุนค้าแรงงานทาสเกินควร" ได้ไง?

อย่านึกว่าผมพูดเปะปะป้ายสีส่งเดช ไปดูได้ด้วยตาตัวเอง มีพรรคพวกอยู่คน ขายลอตเตอรี่อยู่ถนนราชดำเนิน เขาบอกว่าทั้งทุเรศ-ทั้งสงสารชาวบ้านที่นอนระเกะระกะอยู่ตามถนน ด้วยความเป็นคนไทยด้วยกัน เขาก็ได้พูด ได้คุยกัน มีอะไรพอแบ่งปันก็แบ่งปันกันไป จึงได้ความว่า ส่วนหนึ่งที่มา "ด้วยภาวะลูกบ้าน" เขาบังคับกลายๆ ให้มา-ก็ต้องมา เขาให้ตะโกน-ก็ตะโกน

แต่ไม่เข้าใจ...ทำไมต้องไปด่าสถาบัน ด่าพลเอกเปรม?

เพราะสถาบันก็ดี พลเอกเปรม หรือที่ตะโกนกันว่าอำมาตย์...อำมาตย์ก็ดี ไม่เคยเห็นว่าเขาเคยทำอะไรในความหมายว่ามาเหยียบหัว-เหยียบบ่าชาวบ้านขึ้นวิมานเหนือมนุษย์ หรือมาเอารัดเอาเปรียบชาวบ้านอย่างที่พวกแกนนำส่งไอ้พวกคอมมิวนิสต์หลงยุคมาเสี้ยม-มาสอน มานอนตั้งโรงเรียนล้างสมอง?

เห็นแต่ทักษิณนั่นแหละ "จอมเอาเปรียบชาวบ้าน" โยนให้ชาวบ้านร้อย ตัวเองเขมือบล้าน มีคดีขึ้นโรง-ขึ้นศาล ชาวบ้านไม่หนี แต่ทักษิณกลับหนี

ตอนพวกตัวเองเป็นรัฐบาลจากรัฐธรรมนูญ ๕๐ บอกว่าเป็นประชาธิปไตย แต่พออภิสิทธิ์เป็นมั่ง บอกว่ามาจากรัฐธรรมนูญเผด็จการ ๑๙ กันยา ไม่เป็นประชาธิปไตย

แล้วใครกันแน่ที่เป็นเผด็จการ เป็นประชาธิปไตย เป็นสถุลมารยาสาไถยหลอกใช้ชาวบ้านเป็นเครื่องมือ?

บอกหน่อยซิ พ่อต่อมโต!?

เพื่อนผมเขาก็หัวการค้าบวกการบริการ ไหนๆ ชาวบ้านกับการเสี่ยงโชคเป็นของคู่กัน เขาก็เลยจัด "ลอตเตอรี่ชุด" ไว้บริการคนเสื้อแดงกันเอง ขายชุดละ ๒,๐๐๐ ขาดตัว จะกี่ใบ และจัดด้วยกรรมวิธีไหนผมขี้เกียจซัก แต่สรุปได้ว่า เงินค่าจ้างมาชุมนุม ๒,๐๐๐ บาทต่อหัวนั้น

พวกเสื้อแดงเอามาซื้อ "หวยชุด" เพื่อนผมกันจมเลย

ขอให้ถูกเทิ้ด...เจ้าประคุณ จะได้มีเงินซื้อดอกไม้จันทน์ไปทำพวงมาลัยไว้คล้องคอนายใหญ่วันได้กลับมา "อนิจจากันทั้งแผ่นดิน" ทักษิณเอ๋ย!

มีอยู่ราย โน่น...มาจากจังหวัดน่าน ขับรถมากันเอง ๓ คน แวะมาซื้อหวยชุด แล้วด่าไอ้พวกที่ไปหลอกมาเป็นชุดเหมือนกัน บอกที่มาเพราะจำใจ ไม่งั้นอยู่ในหมู่บ้านไม่ได้ เดี๋ยว "ผู้ยิ่งใหญ่" เอาตายเลย

เคราะห์ดีมีรถมาเอง อยู่คืนเดียวก็เลี่ยงตีรถกลับได้ สงสารแต่พวกมาแบบ "รถหมู" ก็ต้องอยู่คาเล้า จนกว่าเขากระทำย่ำยีบ้านเมืองได้สมใจเมื่อไหร่นั่นแหละถึงจะมี "รถขนหมู" กลับ!

นี่...ได้ยินแกนนำเสื้อแดงประกาศบนเวทีหน้าประตูผีอีกแล้ว "เสาร์ที่ ๓ เมษา" จะปฏิบัติการนรกป่วนกรุงอีก ผมบอกจนไม่อยากจะบอกแล้วนะ ทางสวรรค์ทั้งกว้างขวาง เขาเปิดให้ไปแล้วทำไมไม่ไป กลับไปฉลองสงกรานต์กันให้ฉ่ำใจ หมดเทศกาล "ไอ้หมอบ้า" อยากจะหลอกคนมาทำสงครามชนชั้นใหม่ ก็ค่อยว่ากันไปตามเรื่อง

แต่นี่...ทางนรกประตูแคบเท่าปากเข็ม ทักษิณยังเข็นให้ ๓ เกลอชักเย่อชาวบ้านไว้หลอกใช้ให้ตายเพื่อ แม้ว-โอ๊ค-เอม-อ้อ โปรดรู้ไว้ ทั้งชั้นสวรรค์ ชั้นมนุษย์ ต่างเหม็นหน้า เบื่อ-เอือมระอาเป็นที่สุด กับม็อบดันทุรังนี่แล้ว

ยังอยากจะยึด "ปากทางสู่ประตูผี" เป็นที่สิงสถิต ก็อยู่กันเถอะครับ แต่การอยู่แบบ ๗ วันจรยุทธ์ราวีจนไม่รู้กาลเทศะว่าเมื่อย่างเข้าเดือนเมษาของทุกปี ประเทศไทยเรามีเทศกาล-งานพระราชพิธีอะไรบ้าง?

อย่างนี้อันตราย "เบื้องหน้าคือมหาประลัยกัลป์ กลับใจนั้นคือฟากฝั่ง" ท่าน ๓ เกลอแกนนำ "วีระ-จตุพร-ณัฐวุฒิ" ช่วยตรองให้ดี รถไฟสายสู่สวรรค์เที่ยวสุดท้าย อย่าปล่อยให้วิ่งผ่านหน้าเลยไป ฟังทุกเสียงเสื้อแดง ฟังอีกหนึ่งสายนายใหญ่นั้น ฟังได้ แต่การตัดสินใจ บนการอยู่-การตายของชาวบ้านส่วนใหญ่ กับของทักษิณคนเดียว

เลือกเอา-ตัดสินใจเอา มีเวลาวันนี้ และพรุ่งนี้อีกวันว่าจะเปิดโต๊ะรอบ ๓ หรือว่าคว่ำกันไปเลย...แล้วลุย!

ถ้าเป็นผมนะ มีเงินแล้วอยาก "มีโอกาส" ได้ใช้เงิน

ไม่ใช่มีเงินแล้วกระเสือก-กระสนจน "สิ้นโอกาส" เงินเป็นกระดาษให้คนอื่นใช้!

ในยกที่ ๒ จบลงตรงที่ "เกี่ยงกัน" จะ ๑๕ วัน หรือ ๙ เดือนยุบสภาฯ ผมว่าบรรยากาศมันน่าจะมียกที่ ๓ นะครับ คุณวีระก็นักมวยเก่า มันมีมวยที่ไหนในโลกเขาชกกัน ๒ ยก ต่อให้มวยหญิง มวยตุ๊ด มวยแต๋ว ยังไงๆ ก็ต้อง ๓ ยก

เมื่อสนทนาจิบชา ชมดอกไม้ในสวนประชาธิปไตยกันครบ ๓ ยกแล้ว เออ...ถ้ามันตกลงกันไม่ได้ จะไปแต่งทัพยกมาฆ่าชิงเมืองกัน ถ้าประสงค์ โดยไม่ต้องสุ่นศิริ อย่างนั้น

มันก็งามพร้อม....เพื่อนเอ๋ย!

ในช่องว่างระหว่างตัวเลข ๑๕ วันของเสื้อแดง กับ ๙ เดือนของรัฐบาล ผมก็ได้ยินทีมนักวิชาการเสื้อแดงเขาเคาะตัวเลขใหม่ว่า ๙๐ วัน หรือ ๓ เดือน เหล่านี้เหมือนสัญญาณบอกว่า ช่องทางเจรจาน่าจะยังหา "จุดลงตัว" ร่วมกันได้อยู่

ถ้า "จริงใจ" ไม่ฟังแม้วโทรศัพท์ "ชักใย" จนกลายเป็น "หุ่นเชิด" เพียงไม่เป็นใบ้เท่านั้น!

จาก ๑๕ วันที่ขึงตึงของเสื้อแดง ท่าทีแกนนำที่บอกว่าจะไปปรึกษากับนักวิชาการแดง นั่นก็น่าจะเป็นสัญญาณว่า เส้นใต้การให้รัฐบาลยุบสภาฯ น่าจะเขยิบขึ้นไปที่ ๓ เดือน?

แล้วฝ่ายรัฐบาลล่ะ ขึงตึงไว้ที่ ๙ เดือน ในเมื่อฝ่ายเสื้อแดงเพิ่มให้อีก ๗๕ วัน ใจนักเลง "ลดราคา" ให้เสื้อแดงเขาบ้างได้มั้ย เขาเพิ่มให้ ๗๕ วันหรือ ๒ เดือนครึ่ง ฝ่ายรัฐบาลใจป้ำ ลดให้ ๙๐ วัน หรือ ๓ เดือนไปเลย คือ

เหลือ ๖ เดือน...พร้อมยุบสภาฯ!

๖ เดือนก็นับจากเมษา ไปจนถึงตุลา ผมคิดว่าขั้นตอนแก้รัฐธรรมนูญบางมาตราหลังทำประชาพิจารณ์คงเสร็จแล้ว งบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๕๔ ก็น่าจะเสร็จ ประกาศยุบสภาฯ ให้มีเลือกตั้งใหม่ภายใน ๔๕ วันก็จะเป็นไปได้

ก็ประมาณธันวานั่นแหละเลือกตั้งกัน ๓ เดือนที่ตัดมาจาก ๙ เดือนนั้น ไม่ได้เอาไปเข้าพก-เข้าห่อใครเป็นการเฉพาะ หากแต่เอามาใช้เป็น "เวลาสาธารณะ" สู่รัฐบาลใหม่ นายกฯ ใหม่ อำนาจใหม่ พร้อมๆ กับ "ฉลองปีใหม่" ไพร่ฟ้าหน้าใสสู่ พ.ศ.๒๕๕๔ ไปด้วยกัน

ส่วนระหว่างขั้นตอนเข้าสู่กระบวนการอำนาจใหม่ จะ ๒ เดือน ๓ เดือน รัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ "รักษาการ" ไปตามที่กฎหมายกำหนด!

ประชาธิปไตยที่ "ไม่มีใครได้-ใครเสียฝ่ายเดียว" ไงล่ะ ฝ่ายเสื้อแดงก็ "เพิ่มเวลา" ให้รัฐบาลเขา ส่วนฝ่ายรัฐบาลก็ "ร่นเวลา" ลงมาให้ฝ่ายเสื้อแดงเขา เสื้อแดง...จาก ๑๕ วัน ทำน้ำหนักขึ้นไปตรง ๓ เดือน รัฐบาล จาก ๙ เดือน ก็ลดน้ำหนักลงมาที่ ๖ เดือน เรียกว่า "พบกันครึ่งทาง" และเวลาเพิ่ม-ลดนั้น เป็นเวลาให้ทุกฝ่ายไป "เตรียมตัว-เตรียมงาน" โดยกลไกบริหารบ้านเมืองไม่สะดุด ถ้าแบบนี้ยังตกลงกันไม่ได้ อยากฆ่าก็ฆ่ากันไปเถอะครับ...

อย่าช้า เสียเวลาอีแร้งรอ!

วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553

นักโทษชายทรราชย์ ทักษิณทำอะไรไว้บ้าง




1. สี่ปีแรกเอาเงินคลังมาแจกแถมสร้างภาพ สี่ปีหลังยึดสมบัติต้นทุนของชาติเข้าตลาดหุ้นแปรรูปมาเป็นสมบัติของพรรคพวกตนที่ถือหุ้น

2. ประชานิยม แจกแถมไม่มีงานยั่งยืน จนเงินหมดคงคลังแล้ว มีแต่ตัวเลขลวงชาวบ้านไปวันๆเบี้ยวแม้เงินเสี่ยงภัยของครู 3 จ.ใต้อย่างน่าอดสู

3. ห้ามประชาชนและสภาคิดอ่านคิดร่วมงานบริหารประเทศ “คิดเองแทนให้ทุกเรื่อง” เพราะเห็นตนเองฉลาดอยู่คนเดียวนอกนี้โง่หมด

4. เมียหัวหน้าพรรค"จ่ายให้หมด"แก่ผู้สมัครทุกคน เมื่อได้เข้าสภาให้ "ห้ามพูด ห้ามติติง ยกมือให้" อย่างเดียว คนในตระกูลเป็นเจ้าของพรรคอย่างแท้จริงหาใช่พรรคมหาชนแม้แต่น้อย ส.ส.-ส.ว.-ครม. ในคอก คือลูกจ้างทำตามนายสั่งอย่างเดียว ถูกครอบงำสิ้น กินทั้งเงินเดือนสภาและเงินเดือนหัวหน้าพรรค เป็นชุดบริหารและเป็นสภาอัปยศที่สุดในประวัติศาสตร์สภาไทย จึงมีกระแสให้ปฏิรูปรัฐธรรมนูญใหม่รอบสอง

5. ผู้นำที่เป็นนักลงทุนข้ามชาติ ย่อมไม่มีความเป็นชาตินิยมได้ เพราะต้องร่วมสมผลประโยชน์ทำธุรกิจกับต่างชาติ เอาผลประโยชน์แผ่นดินมาแลกกับผลประโยชน์ธุรกิจตน

6. คนผีๆ ทรยศได้กับทุกคนที่เคยเป็นกัลยาณมิตร ปัจจุบันเลี้ยงสมุนด้วยเงินแต่ไม่มีใครจริงใจด้วยสักคน ต่างรู้ไร้จริยธรรม คนดีๆ เมธี ปัญญาชน ล้วนขับไล่ไสส่งให้ออกไป

7. สร้างภาพไม่ให้ขายบุหรี่เปิดเผย แต่อนุมัติเงิน 18,000 ล้านบาทสร้างโรงงานยาสูบสุดแพงที่เชียงใหม่ นายหน้าที่ดินเครื่องจักรเป็นใคร ?

8. วงศาคณาญาติพวกพ้องยิ่งมั่งคั่ง แต่เงินคลังประเทศถังแตก ต้องกู้เป็นแสนๆล้านจะตามมาอีกหลายงวด ล่าสุดกู้ธนาคารพาณิชย์ต่างๆทั้งๆที่เงินกู้ออมสินถึงวาระยังไม่มีจ่ายต้องผลัดส่งเลย

9. ครอบงำและทำลายองค์กรอิสระจนเป็นง่อยเปลี้ย ขาดความสมดุลการตรวจสอบ

10. ครอบงำทีวี ทั้ง 6 ช่อง บงการเป็นกระบอกเสียงของตน เสนอข่าวด้านเดียว คุกคามสื่อทุกรูปแบบ ใครพูดเรื่องคอร์รัปชั่นโดนปลดรายการ จ้างชมพู่และหน้าจืดคนที่รับใช้เผด็จการทรราชมาทุกยุคทุกสมัย เหมือนสถานีทีวีเป็นสมบัติส่วนตัวของพวกโกงกันทั้งโคตรหรือไง มันคิดว่าทรัพย์สาธารณะ สภา ทำเนียบของประชาชนเป็นสมบัติของบริษัทมันทั้งสิ้น

11. แปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ทรัพย์สินมีมูลค่าซ่อนเร้นนับล้านๆบาท จะทำกำไรมหาศาลแก่ผู้ถือหุ้น ได้ของแถมสายนำสัญญาณใยแก้ว 24 เส้นแบนด์วิซสูงบนสายไฟแรงสูงมูลค่าแสนล้านฟรีๆ เป็นการเอาสมบัติต้นทุนของแผ่นดินมาแปรรูปเป็นสมบัตินายทุนหุ้น กำไรที่เคยเข้าคลังกลายเป็นของผู้ถือหุ้นใหญ่แทนทันทีและแก้กฎหมายให้ต่างชาติมาถือหุ้นได้มากขึ้น

12. พยายามปลดคุณหญิงตงฉิน สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แล้วส่งรายชื่อคนของตนเองขึ้นไปทั้ง สตง.และ ปปช. แต่ถูกตีกลับแล้วยังไม่รู้ตัวว่ากระทำมิควร ไม่ยอมลาออกแสดงสปิริตแม้แต่คนเดียว

13. กว้านซื้อโรงพยาบาลเอกชนอย่างหนักหลังจากได้อำนาจครบ 4 ปี

14. กว้านซื้อธนาคารและสถาบันการเงินอย่างหนักหลังจากได้อำนาจครบ 4 ปี

15. ข้าวแกง ก๋วยเตียวขึ้นราคาชามละ 5บาท แต่ค่าแรงกรรมกรขยับแค่ 1-6 บาทในเพียง 16 จ. นอกนั้นไม่ขึ้นให้เลย ไหนค่าเล่าเรียนของลูกๆอีกที่เบิกไม่ได้เลย เขาอยู่กันอย่างไรในยามข้าวยากหมากแพงเช่นนี้

16. รัฐวิสาหกิจที่ขาดทุน รัฐบาลไม่มีความสามารถพัฒนาให้มีกำไรได้ แต่กลับเก่งขายรัฐวิสาหกิจที่มีกำไรให้ต่างชาติและพรรคพวกตนกว้านซื้อหุ้นรวยกันเละ

17. กลิ่นเหม็นสนามบินสุวรรณภูมิ มูลค่าก่อสร้างหนึ่งแสนหกหมื่นล้านบาท ยุบยับคอรัปชั่นฮั้วเหมางานทุกตารางนิ้ว ญาติพี่น้องมามั่วกันครบเครื่อง

18. กำไรจำหน่ายสลากกินแบ่งเคยเข้าคลังเข้ารัฐ ปัจจุบันไม่เข้าคลัง รัฐบาลเอาไปแจกจ่ายใครกันอย่างไรเปิดเผยเสียที

19. เปิดเสรีเต็มประตูทะเลเพราะตนเองก็เป็นนักลงทุนข้ามชาติ เกรงใจบุชแห่งอเมริกาเป็นอย่างยิ่ง ร้านค้าย่อยคนไทยทยอยปิดกิจการ ห้างต่างชาติพากันขนเงินกำไรไหลออกเข้าบริษัทแม่ที่ต่างชาติ เลือดไทยไหลออกทุกวัน

20. รถไฟไทยขาดทุน ไม่เคยมีผู้บริหารเก่ง สามารถพัฒนาให้ดีมีกำไรได้สักคน แต่เก่งขายรัฐวิสาหกิจที่มีกำไรอยู่แล้วเข้าตลาดหุ้นแล้วพรรคพวกตนเองก็กว้านซื้อทำกำไรให้ตนเองมหาศาล

21. พยายามผลักดันให้ กชท. ทำหน้าที่แทน กสช. เอื้อผลประโยชน์เครือข่ายการสื่อสารให้ตนเองและพรรคพวก

22. อุ้มฆ่าชาวบ้านอย่างหนัก สร้างเงื่อนไขสงคราม บ่อนทำลายความมั่นคงของชาติอย่างไม่เคยมีมาก่อน

23. ชุมชนง่อยเป็นเปลี้ย รอแต่เงินรัฐบาลโยนมารอบแล้วรอบเล่า ไม่พัฒนาตนเองได้เพราะ ร้าน SME ที่รัฐบาลให้เงินมาได้ปิดกิจการหมดแล้ว แข่งขันกับห้างต่างชาติไม่ได้ นโยบายผลาญงบแผ่นดิน ไม่เคยมีนโยบายให้พึ่งตนเองได้อย่างถาวรสักโครงการ

24. ใช้เวลาเพียง 5 ปี เท่านั้น รัฐวิสาหกิจ การสื่อสาร คมนาคม ดาวเทียม สถาบันการเงิน โรงพยาบาล สินเชื่อ สื่อ อยู่ในกำมือตนสิ้น ขายธุรกิจตนเองไม่จริง แฝงซื้ออยู่ในกองทุนต่างชาติ เพื่อหลบหนีภาษีและหลบลี้ภัยตามยึดไม่ได้ภายหลังหมดอำนาจ

25. รถยนต์แห่งชาติ กาแฟแห่งชาติ เทคโนโลยีแห่งชาติ อาวุธแห่งชาติ สินค้าแบรนด์เนมไทยไม่มีโอกาสได้เกิด เพราะพวก“นายหน้าทุนต่างชาติ” เข้ามาร่วมบริหารอยู่ในรัฐบาลต้องรักษาผลประโยชน์แห่งตนไว้ก่อน

26. ประเทศไทยยังมีทรัพยากรธรรมชาติอยู่มาก เช่น ภาคอีสานจากการ สำรวจพบว่ามี แร่ทองแดงและโพแทสเซียม สมบูรณ์ที่สุดในโลก ร่างพ.ร.บ.เสียเปรียบให้ต่างชาติเข้าครอบครองในการทำเหมืองดังกล่าวสิ้น

27. ชาวบ้านรากหญ้ามีแต่หนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ เปิดโครงการให้กู้เงินอีกสถาบันมาล้างหนี้อีกสถาบันยิ่งเสียดอกมากขึ้น คนจนจะไม่มีอีกต่อไป เพราะอดตายกันหมดแล้ว

28. โกงลำไยแห้ง โกงโรงบำบัดน้ำเสียคลองด่านหลายหมื่นล้าน เอาตัวเล็กๆมาเป็นแพะ ตัวใหญ่ลอยนวลเพราะอยู่ใกล้ตัว

29. ปลอมวุฒิการศึกษา คาร์ปาร์คสุดอื้อฉาว ทุจริตกล้ายางก็เงียบฉี่

30. ต่ออายุราชการให้น้องเขยครั้งแล้วครั้งเล่าอีกแล้วครับท่าน

31. ให้ฝรั่งมังค่าเข้ามาประมูลประเทศถึงทำเนียบโดยสภาพัฒน์และนายคลังยังไม่รู้นโยบายประเทศของตนเองเลยว่า “มีแบบนี้ด้วยเหรอ” แต่ไม่มีโครงการที่จะเอาฝรั่งที่ชำนาญการปราบคอรัปชั่นเข้ามาด้วย เพราะตอนนี้ประชาระทมโดนโกงกันจนคลัง “ถังแตก” แล้วครับ

32. คอมมิชชั่นเครื่องบิน SU-30 MK กำลังจะเข้าปากหมา พวกกัลยาณมิตรกลับใจไม่น่ามาขวางเลย

33. ที่แท้พรรคพวกได้ผลประโยชน์ข้างเคียงก่อสร้างไนท์ซาฟารี

34. ให้คนแกล้งหมอพรทิพย์เพราะต้องการเอาคนของตัวเองเข้าไปแทน

35. เอาวัตถุทั้งรถและบ้านมายั่วแจกให้แท็กซี่ไปฟังตนปราศรัย แล้วยังมีหน้าพูดจายั่วยุคนที่คิดเห็นต่างตนว่ารับจ้าง

36. เหยื่อสึนามิ ไม่ได้รับการช่วยเหลือทั่วถึงแต่อย่างใด สื่อรัฐเสนอแต่ส่วนที่ช่วยแล้วได้ออกทีวี ปกปิดข้อเท็จจริง

37. ห้ามทีวีออกรายการช่วยน้ำท่วมภาคใต้ แบ่งแยกดินแดนชัดๆ

38. เซ็นสัญญา FTA โดยไทยเสียเปรียบมาก ไทยขาดการวิจัยและผลิตยา 20 กว่าชนิดเป็นเวลา 25 ปี และไม่ให้ปลูกข้าวหอมมะลิสองสายพันธุ์ ต่างชาติอ้างถือสิทธิบัตร รวมถึงการเกษตรให้เสรีนำเข้าตีภาคผลิตของคนไทย ทุนนิยมสุดโต่ง

39. ทำลายความเชื่อถือความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อ ข้าราชการ, เจ้าหน้าที่รัฐ บ้าอำนาจใช้พระเดชปกครอง ขู่เข็ญ สร้างเงื่อนไขให้ข้าราชการให้รับใช้สอพลอตนถ้าแสดงออกได้ดีจะได้รับตำแหน่งข้ามหัวเพื่อน

40. ยุทธ ตู้เย็น ขี้ขลาดตาขาว ยิงตายายเกือบตายถ้าไม่ถูกตู้เย็นพรุนเสียก่อน วันนี้มันจ้างคนงานชั่วคราวป่าไม้มาก่อกวนการเสวนาตามระบอบประชาธิปไตยถึงกรุงเทพ ฯ

41. ผู้นำและครม.หลายคนขับรถจักรยานยนต์ในอำเภออาจสามารถที่หมอดูสั่งให้ไปนอนให้ครบ 4 คืน มิฉะนั้นจะไม่มีแผ่นดินอยู่ ทำผิดกฎหมายไม่ใส่หมวกกันน๊อค ซ้อนท้าย 3 คนไม่เปิดไฟไม่มีใบอนุญาตขับขี่ ออกกฎหมายบนถนนว่าถนนรองไม่ต้องใส่หมวก

42. ไปสิงคโปร์ 4 วันเพื่อบรรลุข้อตกลงให้ต่างชาติซื้อหุ้นได้เงินเกือบแสนล้าน แท้จริงเป็นการโยกหุ้นไปอยู่ในกองทุนต่างชาติเพื่อหลบหนีภาษีและป้องกันการถูกยึดในภายหลังหมดอำนาจ แอบตั้งบริษัทที่ไม่รักชาติ เพื่อซุกซ่อนสมบัติ เลี่ยงภาษีที่เกาะหมู่เกาะบริติชเวอร์จิ้น

43. มีจิตใจอาฆาตต่อราษฎรและไร้เมตตาธรรมต่อผู้ที่คิดเห็นต่างตน แม้ 19 ล้านเสียงก็ขว้างเกือกคืนให้แล้วยังมีหน้าเอามาอ้างอีก

44. ตลาดหุ้นไทยกลายเป็นเครื่องมือของกลุ่มทุนใหญ่ไม่กี่ตระกูลที่รวมหัวกับต่างชาติปั่นทำกำไร

45. ศักดิ์ศรีประเทศไทยอยู่ตรงไหน ต่อการขายสมบัติของแผ่นดินไปให้ต่างชาติแถมกำไรเข้ากระเป๋านักการเมือง เขาซื้อเราขาย ใครเป็นมหาอำนาจ ใจเป็นขี้ข้าหมดทรัพย์ หนังคนละเรื่องกันเลย

46. ไม่เคยมียุคใดสมัยไหนที่คณะผู้บริหารชาติบ้านเมืองคิดพิเรนทร์ ขนาดจะขายแผ่นดินไทยเหมือนยุคสมัยแห่งรัฐบาลนี้อีกแล้ว เตรียมออกกฎหมายที่ดิน เพื่อเปิดโอกาสให้ต่างชาติสามารถ “ถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน” ของประเทศไทยได้ พอดีมีเรื่องขับไล่เสียก่อน

47. ชาวบ้านตั้งคำถาม 50 ข้อ ไม่เคยตอบแม้แต่ข้อเดียว กลับยุบสภาหนีคำถาม เก่งแต่ฟ้องร้องแก้เกี้ยว เมธี ปัญญาชนถูกฟ้องไปทั่ว

48. จ้างผู้สมัครพรรคอื่นให้ลงสมัคร ส.ส. เพื่อหาความชอบธรรมในสภา มหาโจรหน้าเหลี่ยมใช้สภาและอาศัยอาศัยรูปแบบประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือในการปล้นชาติกินเมือง

49. ตระบัตสัตย์ กระล่อน โมฆะบุรุษ ไม่มียางอาย เคยให้สินบน "ทรราชสุจินดา" สุจินดาจึงเชียร์มันสุดๆ

50 ไม่มีคนดีๆ ไม่มีปัญญาชนคนไหนชื่นชอบ ล้วนขับไล่ไสส่งอย่างไม่เคยมีมาก่อน

51 ขี้นค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา น้ำมัน และต้องไปจ่ายเองที่ออฟฟิต ต้องเสียค่าธรรมเนียมที่มินิมาร์ท การที่ผู้บริโภคต้องใช้รถราไปจ่ายเองต้องเสียค่าน้ำมันเพิ่มทุกครัวเรือน ซึ่งผู้ถือหุ้นใหญ่หุ้นน้ำมันก็คือเจ้าของระบอบชั่วนี้

52 ตั้งบริษัทนอมินีให้เครือญาติมาเกี่ยวข้องงานราชการ ฮั้วประมูลงาน รวยล้นฟ้าภายในห้าปี แต่ละเครือรวยกันจริงๆแบบไม่กลัวบาปกรรมแม้แต่น้อย

53 ไปเจ็ดประเทศไปบังคับฑูตให้ติดต่อผู้นำดังกล่าวอย่างเสียมารยาท ทั้งเหมาลำนั่งกันสองคน ใช้เงินภาษีราชการ เศรษฐีขี้เหนียว มันสารเลวจริงๆ มีแต่ปูตินของรัสเซียให้พบเพราะอยากถามเรื่องซื้อเครื่องบินจะว่าไง

54 นางแว่น กลิ่นเหม็นคอมมิชชั่นเครื่องคอมฯ พวกหมอพวกพยาบาลเกลียดหนักหนา ไม่รู้รวยมาจากไหนเอาเงินกว้านซื้อที่ดินตามเกาะต่างๆทั้งในอ่าวไทยและอันดามันหลายร้อยแปลง รวมพันล้านบาท แล้วให้ ครม.งุบงิบแอบออกกฎหมายขายชาติ เตรียมขายที่ดินที่พรรคพวกตนกว้านซื้อขายต่อฟาดกำไรให้ชาวต่างชาติจากกฎหมายขายชาติดังกล่าว (รายละเอียดฟังได้ที่นี่ mms://tv.manager.co.th/videoclip/11News1/Footage/JurmsakTalk_160306_H.wmv )

55 น้ำท่วมไฟลุกทั้งแผ่นดินเพราะคนตระบัตสัตย์คนโกงคนไร้จริธรรมเข้าทำเนียบ

56 เป็นผู้นำคนเดียวในโลกที่มีคนแต่งเพลงไล่ให้ออกไป 200 กว่าเพลง แหล่ กลอนกวี การ์ตูน ด่าไล่เป็นจังไรมากที่สุดในโลก

57 ไม่เคยตอบคำถามที่ชาวบ้านถาม มันกลับฟ้องแก้เกี้ยวรกเต็มศาล ทั้งปัญญาชน เมธี คนรักชาติถูกมันฟ้องเรียกค่าเสียหายไปทั่วเมือง ล่าสุดเรียก 1 พันล้านบาท เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆก็ยังเคยถูกมันฟ้องเรียก 400 ล้านบาท แสดงว่ามันยังรวยไม่พอ อย่างนี้จะให้มันอยู่ในทำเนียบอีกหรือ? ออกไป๊...ยิ่งรวยยิ่งโกง

58 ทั่วโลกบอยคอตรัฐบาลเผด็จการพม่าที่กักขังนางอองซูจี ไม่ช่วยเหลือใดๆ แต่มันกลับเอาเงินเอ็กซิมแบ็งก์ให้พม่ากู้ 5หมื่นกว่าล้าน แลกกับผลประโยชน์ส่วนตัวขายสัญญาณดาวเทียม

59 ยุคนี้บริษัทใหญ่ๆของนักการเมืองและเครือญาติหลีกเลี่ยงภาษีกันอย่างหนัก เพราะมันควบคุมกลไกของรัฐไปทุกหย่อมหญ้าเบ็ดเสร็จ

60 ล่าฆ่าปิดปากชิปปิ้งหมู ที่ออกมาเปิดเผยจากลักลอบเอาชุดดาวเทียมหนีภาษีเข้าประเทศเป็นมูล่าหลายพันล้านบาท

61 งานประมูล งานรับเหมาของรัฐ ยุคนี้ วนเวียนอยู่แต่ในบริษัทนอมินีของนักการเมืองทั้งสิ้น ไม่มีการกระจายอย่างกว้างขวางไปให้บริษัทอื่นๆบ้างเหมือนดังที่ผ่านๆมา

62 ครม.ทั้งชุดคือลูกจ้างของบริษัทเหลี่ยมดาวเทียม ไม่ไปไหนเงินดีงานดี หนา ยิ่งกว่าวาสหนา

63 จ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้ง กลายเป็นคนจ้างไม่ผิดแต่คนมีรูปถ่ายเป็นหลักฐานผิด กล้องถ่ายรูปผิด เหมือนตากใบ คนจับชาวบ้านมัดมือไพร่หลังแล้วเตะคาง เตะก้านคอ ทับกันตาย คนทำทารุณกรรมไมผิด กลายเป็นวีซีดีผิด! บ้ากันใหญ่แล้วยุคทรราชเหลี่ยมครองเมือง

64 เมียทรราชและนายหญิงทั้งหลายกว้านซื้อที่รอบๆสนามบินแล้วรีบออกกฎหมายปั่นที่ดินหวังเทขาย หวังรวยติดอันดับโลก

65 ปากทรราชพูดจะเจริญรอยตามนโยบายเศราฐกิจเพียงพอแต่พฤติกรรมมัน"ให้ต่างชาติเข้ามาครอบงำธุรกิจไทยหมดสิ้น"

66 มันพูดแต่คำว่า "กติกาประชาธิปไตย" โดยมันซื้อยกพรรค ซื้อยกหมู่บ้าน ประชาธิปไตยภาษาพ่อมัน

67 น้องสาวมันปลอมวุฒิการศึกษา เดี๋ยวนี้รวยเป็นพันๆล้านกว้านซื้อที่ดินซื้อหมู่บ้านได้มากมาย

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

จงรักภักดี? “วิระยาชวกุล”จุด”เทียนแดง”ไพร่ชู “ตีนตบ” ถวายพระพร



ในที่สุด “ไพร่ตัวแม่” อย่าง “(ท่านผู้หญิง) วิระยา ชวกุล ก็ตัดสินใจขึ้นเวทีไพร่แดงอีกครั้งเมื่อคืนวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา หลังเปิดตัวอย่างเป็นทางการบนเวทีเดียวกันนี้เมื่อวันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมา

การปรากฏตัวของ(ท่านผู้หญิง) วิระยา ชวกุล ในครั้งที่ 2 นี้ถือว่ามีนัยสำคัญมาก เพราะเป็นการปรากฏตัวเพื่อเป็นประธานในการถวายคำสัตย์ปฏิญาณเพื่อแสดงความจงรักภักดี พร้อมทั้งนำม็อบไพร่แดงจุดเทียนชัยถวายพระพรต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เป็นการปรากฏตัวที่คงไม่อาจอธิบายเป็นอื่นได้ว่า “นช.ทักษิณ ชินวัตร” ต้องการให้ไพร่ตัวแม่คนนี้มารับประกันในความจงรักภักดีของเขาอีกครั้ง โดยอาศัยคราบไคลของความเป็นท่านผู้หญิงที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นจุลจอมเกล้าเป็นใบเบิกทาง

แต่ยุทธศาสตร์นี้ดูเหมือนจะไม่ได้ผล เพราะภาพที่ออกมาในวันนั้น ยิ่งกลับตอกย้ำความมุ่งมาดปรารถนาของคนเสื้อแดงชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก เพราะขณะที่(ท่านผู้หญิง) วิระยาปรากฏตัวครั้งที่ 2 บนเวทีไพร่แดงพร้อมนำบรรดาไพร่แดงถวายสัตย์ปฏิญาณแสดงความจงรักภักดีกลับมีเหตุการณ์ที่ไม่น่าเชื่อเกิดขึ้น เพราะถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า เทียนที่ไพร่ตัวแม่ผู้นี้นำจุด รวมทั้งเทียนที่ไพร่ที่อยู่ด้านล่างร่วมกันจุดนั้น เป็น “เทียนสีแดง” ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่บังควรยิ่ง

ไม่ว่าจะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ผู้ที่จงรักภักดีย่อมทราบในหัวใจว่า “สีแดง” เป็นสีที่ไม่ถูกโฉลกกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีพระประสูติกาลในวันจันทร์ แถมคนที่จุดเทียนให้กับ(ท่านผู้หญิง) วิระยายังเป็น “นายศักดิ์ระพี พรหมชาติ” ผู้ที่ใช้เลือดไพร่แดงทำมนต์ดำเพื่อสร้างความพินาศฉิบหายให้กับบ้านเมืองอีกต่างหาก

(ท่านผู้หญิง)วิระยาและคนเสื้อแดงมีเจตนาที่นอกเหนือไปจากที่ประกาศไว้หรือไม่?

แต่ที่อุบาทว์ชาติชั่วที่สุดคือ ในพิธีดังกล่าวได้มีการชู “ตีนตบ” ขึ้นมาพร้อมๆ กันด้วย

(ท่านผู้หญิง)วิระยาและคนเสื้อแดงจะตอบคำถามในเรื่องนี้อย่างไร?

นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตั้งคำถามตอกย้ำอย่างซึ่งๆ หน้าว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 24 มี.ค.สิ่งที่ไม่บังควรอย่างยิ่ง คือ ระหว่างที่มีการจุดเทียนกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งบนเวที และด้านล่าง มีการยกเท้าตบขึ้นมาโชว์เหมือนเป็นการถวายด้วยเท้าตบ ดังนั้น ตนอยากถามหาความรับผิดชอบของคนเสื้อแดง และอยากรู้ว่าแกนนำ นปช.จะแก้ตัวอย่างไรกับการชูเท้าตบถวายพระพร ซึ่งตนหวังว่า แกนนำ นปช.จะไม่โยนความผิดให้รัฐบาลอีก

นอกจากนั้น หากย้อนหลังกลับไปชำแหละตัวตนที่แท้จริงของ (ท่านผู้หญิง) วิระยาจากพฤติกรรมของเธอในอดีต ก็ยิ่งเห็นชัดว่า คนคนนี้แท้ที่จริงแล้วเป็นคนเช่นไร โดยเฉพาะเรื่องอื้อฉาวในโครงการจัดทำเสื้อสีฟ้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เธอเป็นเพียงแค่คนที่ต้องการเข้ามาอาศัยสถาบันเพื่อทำประโยชน์ให้กับตัวเองเท่านั้น

ทั้งนี้ โครงการเสื้อสีฟ้าซึ่งบนเสื้อมีพระปรมาภิไธย ส.ก.อยู่ด้วยนั้น จัดทำขึ้นในปี 2547 โดยมีการออกหนังสือเวียนให้ข้าราชการ และพนักงานของกระทรวงมหาดไทยทุกระดับชั้นซื้อ พร้อมทั้งเร่งให้มีการจัดจำหน่ายให้เสร็จสิ้นภายในเดือนสิงหาคม ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชเสาวนีย์ผ่านกองราชเลขานุการในพระองค์ ถึงปลัดมหาดไทย ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องยุติ “วิธีจำหน่าย” ในลักษณะดังกล่าว และทรงเสียพระราชหฤทัยอย่างยิ่งเมื่อทรงทราบจากฎีการ้องทุกข์หลายฉบับที่ระบุว่าโครงการนี้ได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้มีรายได้น้อย

แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ เงินรายได้ที่ได้จากการจำหน่ายเสื้อสีฟ้า (ท่านผู้หญิง) วิระยาก็ยังไม่ได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถแต่อย่างใด โดยเงินจำนวนนี้ (ท่านผู้หญิง) วิระยายอมรับเองว่า เก็บเอาไว้ในสมุดบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ ชื่อมูลนิธินพรัช-รัตนโกสินทร์

เงินจำนวนนี้มีมูลค่าสูงถึง 480 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม เม็ดเงิน 480 ล้านบาทที่แสดงอยู่ในบัญชีก็ดูเหมือนว่า จะไม่ใช่ตัวเลขที่ตรงเสียทีเดียว เพราะโครงการนี้ผลิตเสื้อออกมาขายจำนวน 3 ล้านตัว จำหน่ายตัวละ 300 บาท รวมแล้วต้องมีรายได้จากการขายทั้งหมด 1,200 ล้านบาท โดยระบุชัดว่า นำขึ้นทูลเกล้าฯ โดยไม่หักค่าใช้จ่าย หรือนั่นหมายความว่า ยังมีเงินอีก 720 ล้านบาทที่ไม่รู้ว่า ล่องหนหายไปไหน

นอกจากนั้น พฤติกรรมของ(ท่านผู้หญิง) วิระยายังได้สร้างความกังขาให้เกิดขึ้นกับสังคมว่า แท้ที่จริงแล้ว เธอเป็นข้ารองพระบาทในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถหรือไม่ กระทั่ง “ท่านผู้หญิง จรุงจิตต์ ทีขะระ” รองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ต้องออกมายืนยันว่า ท่านผู้หญิงวิระยานั้นไม่เคยเป็นนางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ แต่อย่างใด เพราะตำแหน่งนางสนองพระโอษฐ์นั้นต้องได้รับการโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา นอกจากนี้ ท่านผู้หญิงวิระยายังไม่มีตำแหน่งใดๆ ในสำนักพระราชวังอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การที่ (ท่านผู้หญิง)วิระยาตัดสินออกหน้ามาปรากฏตัวอยู่บนเวทีล้มเจ้านั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไร เพราะหากย้อนกลับไปในอดีตจะพบว่า เธอมีความใกล้ชิดกับ นช.ทักษิณ ชินวัตร มานาน โดยเคยให้สัมภาษณ์ว่า รู้จักกับนักโทษชายหนีคดีและภรรยาตั้งแต่ยังไม่เป็นนายกรัฐมนตรี และถือว่าเป็นเพื่อนกันมาตลอด แม้ว่าจะไม่เป็นนายกฯ แล้วก็ตาม

(ท่านผู้หญิง)วิระยาบอกด้วยว่า ที่ผ่านมา นช.ทักษิณบริจาคเงินช่วยการกุศลที่ท่านผู้หญิงฯ จัดขึ้นมาโดยตลอด และเธอยินดีรับเงินนั้นไม่ว่าจะเป็นเงินบริสุทธิ์หรือไม่ก็ตาม ทั้งยังเหน็บแนมว่าคนที่มีเงินบริสุทธิ์ทำไมไม่เอาไปให้เธอบ้าง

ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ หลัง นช.ทักษิณออกมาเคลื่อนไหวนำคนเสื้อแดงขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และมีการโจมตีประธานองคมนตรีอย่างรุนแรง ซึ่งกระทบไปถึงสถาบันเบื้องสูง (ท่านผู้หญิง)วิระยา ได้ออกมาการันตีว่า นช.ทักษิณ มีความจงรักภักดี โดยอ้างว่ารู้ได้จากซิกซ์เซนส์ หรือสัญชาตญาณ พร้อมทั้งเห็นด้วยกับการที่ นช.ทักษิณ ที่กล่าวโจมตีประธานองคมนตรีและองคมนตรีหลายท่านว่าอยู่เบื้องหลังการยึดอำนาจวันที่ 19 ก.ย.โดยอ้างจากคำพูดของ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี นายทหารนอกราชการที่ไร้จุดยืนเท่านั้น

@สองแฉก@ โดย เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

@ แฉกหนึ่งสันติอหิงสา
แฉกสองระเบิดบ้าสาไถย
แฉกหนึ่งประชาธิปไตย
แฉกสองรับใช้เผด็จการ

แฉกหนึ่งด่าใครได้คล่อง
แฉกสองว่าสองมาตรฐาน
แฉกหนึ่งสังคมอุดมการ
แฉกสองอันพาลป่วนบ้านเมือง

แฉกหนึ่งปากไพร่ใจทาส
แฉกสองมหาอำมาตย์มาดเขื่อง
แฉกหนึ่งหัวโล้นหัวเรือง
แฉกสองเศกเรื่องรุนแรง

แฉกหนึ่งสะอาดมาดหมดจด
แฉกสองรากษสสยดแสยง
แฉกหนึ่งกระหายเลือดเดือดแดง
แฉกสองแอบแฝงมนต์ดำ

สองฉากสองช่องลิ้นสองแฉก
สองตีนสองแตกสูงต่ำ
ตีนหนึ่งตีนตบเริงรำ
ตีนหนึ่งเหยียบย่ำประเทศไทย


เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
พฤ.๒๖/๓/๕๓

“อภิวันท์ วิริยะชัย”สุดเหิม โหน “เจ้า” ตุ๋น “ไพร่แดง”




ถ้าหาก “พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย” รองประธานสภาผู้แทนราษฎรยังคงมี “ยางอาย” อยู่บ้าง นอกจากจะต้องทำหนังสือกราบบังคมทูลขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว ยังจะต้องประกาศลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและเลิกเล่นการเมืองไปตลอดชีวิต เพราะการมั่วนิ่มแอบอ้างเบื้องสูงเพื่อตุ๋น “ไพร่แดง” นั้น เป็นความผิดที่มิอาจให้อภัยได้

กล่าวคือในการปราศรัยของ พ.อ.อภิวันท์ เมื่อวันที่ 20 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้กล่าวอ้างถึงสถาบันเบื้องสูงว่า “เช้าวันนี้ นายทหารราชองครักษ์ของพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์หนึ่งได้มาเยี่ยมเยียนการชุมนุมของคนเสื้อแดง ทำให้ตนมั่นใจว่ารัฐบาลจะไม่กล้าใช้กำลังปราบปรามกลุ่มคนเสื้อแดง”

ทั้งนี้จากข้อความดังกล่าวของนายอภิวันท์ ทำให้แกนนำคนเสื้อแดงที่ขึ้นเวทีตามมาต่างนำข้อความดังกล่าวไปปราศรัยขยายความอย่างต่อเนื่อง

การปราศรัยของ พ.อ.อภิวันท์มิอาจตีความเป็นอย่างอื่นว่า มีเจตนาที่ต้องการสื่อให้คนเสื้อแดงทราบว่า ม็อบของพวกเขามีสถาบันหนุนหลัง เป็นการแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงมาเป็นเกราะป้องกันและเครื่องมือทางการเมืองของกลุ่มตัวเอง ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา ก็มีประจักษ์พยานพิสูจน์ว่า พ.อ.อภิวันท์กระทำการอันไม่บังควรจริง

กล่าวคือ ก่อนหน้าที่ พ.อ.อภิวันท์จะนำเรื่องนี้มาพูดนั้น หน้า 14 ของหนังสือพิมพ์มติชนฉบับวันที่ 25 มี.ค.ได้รายงานเอาไว้ว่า “เมื่อเวลา 11.40 น. วันที่ 23 มี.ค. นายสมาน สันธนะ หัวหน้าชุดช่างภาพประจำพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ขับรถมอเตอร์ไซต์มากับเจ้าหน้าที่กองงานในสมเด็จพระบรมฯ เข้ามายังเวทีปราศรัยของกลุ่มเสื้อแดงบนสะพานผ่านฟ้าลีลาศ จากนั้นนำกล้องวิดีโอและกล้องถ่ายรูปดิจิตอลมาถ่ายภาพการปราศรัยของบรรดาแกนนำและบรรยากาศการชุมนุม สักครู่หนึ่ง แกนนำที่ปราศรัยทราบเรื่องดังกล่าว จึงได้กล่าวกับผู้ชุมนุมว่า “พระองค์ท่านทรงไม่ทอดทิ้งกลุ่มผู้ชุมนุม และขอให้ผู้ชุมนุมทุกคนเปล่งเสียงทรงพระเจริญพร้อมกัน 3 ครั้ง” จากนั้นผู้ชุมนุมก็เปล่งเสียงทรงพระเจริญ 3 ครั้ง เจ้าหน้าที่ทั้งสองใช้เวลาบันทึกภาพประมาณ 15 นาที ก่อนเดินทางกลับไป”

ทว่า ในวันต่อมา หน้า 15 ของหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 26 มี.ค.ก็ได้รายงานข่าวถึงกรณีที่เกิดขึ้นว่า “รายงานข่าวจากสำนักพระราชวังระบุว่า “ตามที่ ร.อ.สมาน สันทนะ ข้าราชการพลเรือนในพระองค์ มาเก็บภาพบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง เมื่อวันที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ประจำวันได้ละทิ้งหน้าที่ไปที่ชุมนุมทางการเมืองที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ โดยแต่งเครื่องแบบข้าราชการพลเรือนในพระองค์ อันเป็นการประพฤติที่ไม่เหมาะสมและเป็นการกระทำโดยพลการ จึงให้พ้นจากหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคมเป็นต้นไป”

นี่คือประจักษ์พยานยืนยันชัดเจนถึงความเหิมเกริมของ พ.อ.อภิวันท์

อย่างไรก็ตาม คงไม่เป็นที่แปลกใจอะไรมากนัก เพราะหากยังจำกันได้ พ.อ.อภิวันท์คนเดียวกันนี้ยังได้เคยกระทำการที่แสดงเจตนาชน “ฟ้า” มาแล้วด้วยวาทกรรมสะท้านชาติเรื่อง “ราชวงศ์โรมานอฟ”

ในครั้งนั้น ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นห่วงสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้หรือไม่ พ.อ.อภิวันท์ได้ตอบกลับมาว่า “ตนพูดไปหลายครั้งว่าเป็นห่วง เพราะขณะนี้ความแตกแยกของประเทศไทยก็ไปเหมือนกับรัสเซียในราชวงศ์โรมานอฟ และฝรั่งเศสในเหตุการณ์คุกบาสตีล จีนในราชวงศ์เหี้ยนเต้ ซึ่งเป็นกรณีที่คนรากหญ้าออกมาต่อสู้กับอำมาตย์ เป็นการต่อสู้ทางชนชั้นซึ่งเป็นเรื่องที่ยากจะแก้ไข ซึ่งในเมืองไทยสามารถแก้ไขได้ ถ้าผู้มีอำนาจเข้าใจปัญหาและมีจิตสำนึก เพราะขณะนี้ประชาชนใน กทม.ให้การตอบรับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ดังนั้นนายกรัฐมนตรีและคนที่เหนือกว่านายกรัฐมนตรีควรจะพิจารณา”

ขยายความเพิ่มเติมก็คือ ราชวงศ์โรมานอฟนั้น เป็นราชวงศ์สุดท้ายของรัสเซียที่ถูกโค่นล้มเมื่อปี ค.ศ.1917 โดยพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซีย และมีการสังหารพระเจ้าซาร์ นิโคลัสที่ 2 พร้อมด้วยพระราชินีอเล็กซานดรา พระราชโอรสและพระราชธิดาอย่างโหดเหี้ยม

ด้วยเหตุดังกล่าว การที่เขามีพฤติกรรมและคำพูดเยี่ยงนี้เริ่มจากโรมานอฟถึงการแอบอ้างเบื้องสูง สังคมคงไม่แปลกใจอะไรกับพฤติกรรมของ พ.อ.อภิวันท์เท่าใดนัก

วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2553

ถอดรหัสความหมาย “อำมาตย์” ของ “แม้ว มอนเตฯ-สมุนแดง”




กรณีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่เริ่มปลุกระดมมาตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. และ ปักหลักชุมนุมใหญ่มาตั้งแต่วันที่ 14 มี.ค. โดยตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจอมคอร์รัปชั่นและผู้อยู่เบื้องหลังม็อบเสื้อแดง รวมถึงแกนนำได้ พยายามปลุกระดมสงครามชนชั้นและแบ่งแยกสังคมไทยออกเป็นหลายชนชั้น โดยแทนตัวเองว่าเป็น “ไพร่” และกล่าวหาศัตรูทางการเมืองว่าเป็น “อำมาตย์”

พล.ร.ท.ประทีป ได้วิเคราะห์และตั้งข้อสังเกตว่า พ.ต.ท.ทักษิณและแกนนำคนเสื้อแดงกล่าวปลุกระดมอยู่ตลอดเวลาว่า “ชวนไพร่มาไล่อำมาตย์” ซึ่งหลังจากที่ได้ฟังการปราศรัยของคนเสื้อแดงอยู่หลายวันตนก็สงสัยว่า ความหมายของคำว่า “อำมาตย์” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และ แกนนำคนเสื้อแดงนั้นตรงกันหรือไม่

“ผมก็ตั้งคำถามขึ้นมาว่า อำมาตย์บนเวทีแกนนำคนเสื้อแดง กับ อำมาตย์ของคุณทักษิณเนี่ยเป็นอำมาตย์เดียวกันหรือเปล่า … ผมเองเกิดมาจนอายุ 60 กว่าแล้ว ในเส้นทางชีวิตที่เกิดมา ผมไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะประสบกับตัว ได้ยินกับหู ได้เห็นกับตาว่า จะมีบุคคลกลุ่มใดมาจาบจ้วง ล่วงละเมิด มาท้าทาย มาข่มขู่ มาสั่งสอน บุคคลสำคัญของประเทศขนาดนี้” อดีตนายทหารระดับสูงกล่าว และตั้งข้อสังเกตหลายๆ ประการดังนี้

หนึ่ง การวิพากษ์วิจารณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ว่า “อำมาตย์อายุ 80 กว่าแล้ว อีกไม่กี่ปีก็ตายแล้ว” แต่ในข้อเท็จจริงคือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ซึ่งตกเป็นเป้าของ พ.ต.ท.ทักษิณและกลุ่มคนเสื้อแดงมาตลอดนั้นปัจจุบันอายุ 90 ปี (เกิดปี พ.ศ.2463)

สอง การที่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า “อำมาตย์ร่ำรวยแล้ว มีมรดกให้ลูกหลานอย่างพอเพียงแล้ว ปล่อยประชาชนไปเถอะ” ทว่าในข้อเท็จจริงก็คือ พล.อ.เปรม ไม่เคยแต่งงาน และไม่เคยมีบุตร เพราะฉะนั้นย่อมไม่มีทายาทและลูกหลาน

“ผมเรียนถามว่า พล.อ.เปรม ที่พวกท่าน (คนเสื้อแดง) บอกว่าเป็นตัวแทนของอำมาตย์ ท่านมีลูกหรือเปล่าครับ? (พิธีกรตอบว่า ท่านไม่มีลูก เมียก็ยังไม่มี) ... เพราะฉะนั้นก็น่าตั้งคำถาม” พล.ร.ท.ประทีป กล่าวด้วยสีหน้าที่เศร้าสลด

ประการต่อมา พล.ร.ท.ประทีม ตั้งคำถามถึง พ.ต.ท.ทักษิณ และคนเสื้อแดงด้วยว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าววิดีโอลิงก์เมื่อไม่นานมานี้ว่า “อำมาตย์ไทย ท่านไม่ต้องกลัวหรอกว่าท่านจะไม่ได้รับการยอมรับ เหมือนอำมาตย์ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะไทยมีวัฒนธรรม ประเพณี ศาสนาที่มั่นคง …” ตนก็อยากรู้จริงๆ ว่า อำมาตย์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณหมายถึงนั้นคือใคร

จากนั้น พล.ร.ท.ประทีป ได้กล่าวถึง คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณระหว่างการวิดีโอลิงก์ ในช่วงหัวค่ำของวันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2553 ซึ่งตอนหนึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงอำมาตย์ต่อเนื่องยาวประมาณ 2 นาทีว่า

“เพราะฉะนั้นผมก็เลยอยากกราบเรียนอำมาตย์ด้วยความเคารพครับว่า ต้องหยุดรังสีอำมหิตของท่านได้แล้ว เพราะว่ามันชัดเกินไป มันชัดจนระบบมันไม่เป็นระบบแล้ว มันชัดจนกฎหมายมันไม่เป็นกฎหมายแล้ว มันชัดจนเห็นว่าท่านไม่มีความเป็นธรรม ใครๆ เขาก็หวังพึ่งความเป็นธรรมของท่าน แต่วันนี้ท่านไม่มีความเป็นธรรมเหลืออยู่เลยหรือ ผมเข้าใจได้ว่าท่านถูก เพ็ดทูล มีคนไปฟ้อง มีคนไปรายงานว่าเสื้อแดงนี้ อีกไม่นานมันก็ฝ่อ ถ้าเลือกตั้งเมื่อไหร่ ไอ้พรรคเพื่อไทยมันชนะ ก็จะยุบมันอีก เหมือนพลังประชาชน หมัดแรกพอไหว หมัดสองพอทำเนา หมัดสามไม่มีใครรับได้แล้ว ทั้งโลก ไม่เฉพาะประเทศไทยครับ

“หมัดแรกไทยรักไทย คนก็ยังงงอยู่ เอา เอา เอา ปล่อยไปเหอะ หมัดที่สองพลังประชาชนคนบอกว่า เฮ้ย! ทำไมอ่ะ พอหมัดสามกำลังเงื้อ คนชี้เลย บอกว่าอย่านะ อย่านะ ... พี่น้องครับ วันนี้ทำท่าจะเงื้อ แต่ขณะเดียวกัน พอประชาธิปัตย์โดนหลักฐานทนโท่ กลับเป็นโรคเลื่อนกันหมด เลื่อนแล้วเลื่อนอีก อภิชาต (นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.) เนี่ยไส้เลื่อนกินไปแล้ว ไม่รู้กินแล้วเป็นโรคลำไส้ หรือ เป็นโรคไส้เลื่อนก็ไม่แน่ใจ

“พี่น้องครับถ้าอย่างนี้นี่ มันชัดเจนครับ ถ้าอำมาตย์ท่านรักประชาชนจริง เพราะประชาชนก็รักท่านเป็นบุญอยู่แล้ว แต่ถ้าท่านรักประชาชนจริง ต้องเลิกอุ้มข้างเดียวแล้ว กระทืบอีกข้างหนึ่ง ...” พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว

จากข้อความดังกล่าว พล.ร.ท.ประทีป จึงให้ข้อสังเกตว่า โดยปกติแล้วการใช้คำว่า “รักประชาชน” และ “เพ็ดทูล” นั้นมิใช่คำที่ประชาชนทั่วไปใช้แต่เป็นคำที่ใช้กับเจ้านาย

อนึ่ง สำหรับความหมายของคำว่า “เพ็ดทูล” ซึ่งราชบัณฑิตยสถานเคยแจกแจงไว้ ระบุชัดเจนว่า

เพ็ดทูล เป็นคำกริยา แปลว่า พูดกับเจ้านาย เช่น เมื่อจะเพ็ดทูลสิ่งใดควรพิจารณาว่าเป็นการสมควรหรือไม่. ถ้อยคำที่ใช้ในการเพ็ดทูลเป็นคำที่ อาลักษณ์ ปลัดทูลฉลอง และผู้ที่รับใช้ใกล้เบื้องพระยุคลบาทแต่โบราณคิดขึ้น รวบรวมหรือบันทึกไว้เพื่อใช้ในการกราบบังคมทูลพระกรุณา.

คำว่า เพ็ดทูล ประกอบด้วยคำว่า เพ็ด กับ คำว่า ทูล.

เพ็ด เป็นคำภาษาบาลีสันสกฤตว่า วจฺน แต่ออกเสียงตามคำภาษาเขมรว่า เพจฺน / p น c / แปลว่า คำพูด.

คำว่า ทูล มาจากคำเขมรว่า ทูล แปลว่า กล่าว บอก.

เพ็ดทูล จึงแปลว่า คำกล่าว คำบอก. ในภาษาไทยใช้หมายถึง คำที่ใช้พูดกับพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งรู้จักกันทั่วไปว่า ราชาศัพท์ นั่นเอง


“คำว่าอำมาตย์บนเวทีคนเสื้อแดงนั้น ซ่อนพรางด้วยวาทกรรมการเมือง เป็นวาทกรรมอำพราง ว่าขับไล่อำมาตย์ แต่แท้จริงแล้ว ... ท่านขับไล่ใครครับ” พล.ร.ท.ประทีปกล่าว

นอกจากนี้อีกตอนหนึ่งของรายการ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ พิธีกรรายการสภาท่าพระอาทิตย์ และนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ที่ร่วมรายการยังชี้ให้เห็นด้วยว่าในการวิดีโอลิงก์วันแรกๆ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเคยกล่าวด้วยว่า คนที่บอกให้ตนพักจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อปี พ.ศ.2549 เหตุใดวันนี้จึงไม่บอกให้นายอภิสิทธิ์พักบ้าง

“เข้าใจว่า ... เป็นข่าวเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2549 ที่คุณทักษิณออกมาแถลงว่าจะเว้นวรรค คือ ไม่รับตำแหน่งนายกฯ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดหลังจากที่คุณทักษิณเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและก็ออกมาแถลงเช่นนี้ ทีนี้คือพอคุณทักษิณพูดก็บอกว่า คนที่บอกผมให้พัก ให้เว้นวรรคทำไมไม่บอกให้อภิสิทธิ์เว้นวรรคบ้าง” นายคำนูณกล่าว และยืนยันว่าตนก็ไม่ทราบเช่นกันว่า คนที่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวถึงนั้นหมายถึงใคร

ทางตันของ นช.ทักษิณ







การเคลื่อนพลของ ” ไพร่แดง” สร้างความปั่นป่วนให้กับคนกรุงเทพ เมื่อวันเสาร์ ที่ผ่านมา ต้องนับว่า ยิ่งใหญ่ เมื่อพิจารณาจากจำนวนคนที่เข้าร่วมถึง50,000 กว่าคน และสมใจนช.ทักษิณ ที่ต้องการสร้างความรุ้สึกชิงชังระหว่างชนชั้น เพราะการจราจรที่ติดขัดไปทั่วกรุงนานหลายชั่วโมง ทำให้อารมณ์ของคนกรุงเทพ คุกรุ่น ด้วยความชิงชัง

ไม่ได้ชิงชังต่อคนเสื้อแดง ที่ถูกจัดตั้ง กวาดต้อนให้มาถูกแดดแผดเผากลางถนนของเมืองหลวง กลับสมเพช สงสารด้วยซ้ำ แต่เป็นความชิงชังต่อ นช. ทักษิณ ที่ต้องจัดว่า เป็น ชนชั้น นายทุนใหญ่ ที่ใช้ชนชั้นล่างเป็นเครื่องมือ ในการทำลายประเทศไทย จับคนกรุงเทพเป็นตัวประกัน

แต่ต้องตั้งคำถามว่า So What ? แล้วยังไงละ ครั้งก่อน ไปกลับสะพานผ่านฟ้า –ราบ 11 ครั้งนี้ วิ่งเป็นวงกลม เหมือนรถเมล์สายรอบเมือง ก็ยังไม่เห็นว่า จะช่วยทำให้ นช.ทักษิณ รอดพ้นจากการติดตะรางในใจ และได้เงิน 46,373 ล้านบาทคืนมาได้อย่างไร



เป้าหมายของ นช. ทักษิณนั้น ต้องการขัดขวางการดำเนินชีวิตตามปกติของคนกรุงเทพ โดยหวังว่า คนกรุงเทพ จะไปกดดันรัฐบาลอีกต่อหนึ่ง นช. ทักษิณ ต้องการทำให้เกิดภาพว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี บริหารราชการแผ่นดิน ไม่ได้ เหมือนที่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เคยตกอยุ่ในสภาพเช่นนี้มาก่อน อันจะเป็นการทำลายความชอบธรรมของนายอภิสิทธิ์ นช. ทักษิณ ต้องการทำให้ เศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวขึ้นมา หยุดชะงัก เพราะตนเองเคยปรามาสนายอภิสิทธิ์มาก่อนว่า ไม่มีฝีมือในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ แต่ภายในเวลาเพียง ปีเดียว เศรษฐกิจไทยกลับฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และมีแนวโน้มว่า จะขยายตัวอย่างมากในปีนี้

จะเป็นเพราะเศรษฐกิจโลก หรือเป็นเพราะฝีมือ ของ นายอภิสิทธิ์ ก็ตามแต่ มันได้ ทำให้ นช. ทักษิณ ต้องงหุบปากเงียบ ในเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ

แต่คนกรุงเทพ ไม่ใช่ชนชั้น ไพร่ เหมือนคนเสื้อแดง คนกรุงเทพ คือ ชนชั้นกลาง ที่ยังชีพอยู่ด้วย เงินเดือน ค่าแรง คนกรุงเทพ ไม่ได้รู้สึกว่า ถูกกดขี่ ขูดรีด จากอำมาตย์ หรือเจ้าที่ดิน แต่รู้ดีว่า พวกที่เอารัดเอาเปรียบตนคือ พวกนายทุนใหญ่ แห่งระบบทุนนิยม โดยมี นช. ทักษิณ เป็นนายทุนใหญ่ที่สุด ที่ใช้การผูกขาดตัดตอน และใช้อำนาจรัฐ แสวงหาผลประโยชน์ที่ไม่เป็นธรรม

คนกรุงเทพไม่สนใจเรื่อง ไพร่- อำมาตย์ ไม่สนใจเรืองสงครามชนชั้น เพราะรู้ดีว่า เป็นเรื่องโกหกที่ นช. ทักษิณ กุขึ้นมาหลอกพวกไพร่แดง สังคมไทยเคลื่อนตัวจากสังคมเกษตรกรรม สู่อุตสาหกรรมนานแล้ว ผลผลิต และค่าจ้างแรงงาน มีสัดส่วนมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี และนับวันมีแต่จะเพิ่มสูงขึ้น สวนทางกับผลผลิตและค่าจ้างแรงงานในภาคเกษตรกรรม ที่ลดลงทุกปี สังคมไทยไม่ใช่สังคมศักดินา ที่มีอำมาตย์กับไพร่ แต่เป็นสังคมทุนนิยม ที่มีนายทุน กับผู้ใช้แรงงาน

ที่สำคัญคือ คนกรุงเทพรู้ดีว่า เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของ ขบวนไพร่แดง คือ การต่อสู้ฉากสุดท้ายของ นช. ทักษิณ เพื่อทวงอำนาจและทรัพย์สินคืน โดยมีเงื่อนไข การยุบสภา เป็นเรื่องบังหน้าเท่านั้น

ในขณะเดียวกัน ต้นทุนของนายสมชาย กับนายอภิสิทธิ์ก็ห่างกันอย่างลิบลับ ความพยายามที่จะสร้างภาพว่า นายอภิสิทธิ์ ไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้จึงไม่เป็นผล ราชการแผ่นดิน ที่คนเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องใส่ใจในช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมือง จะมีอะไรสำคัญไปกว่า การควบคุม ไม่ให้สถานการณ์บานปลาย ไปสู่ความรุนแรง เล่า ซึ่งนายอภิสิทธิ์ จัดการได้ดีกว่านายสมชาย หลายร้อยเท่า

นายอภิสิทธิ์กลับเปิดเกมรุกกลับ นช. ทักษิณ อย่างแหลมคม ด้านหนึ่ง ทอดสะพาน อ้าแขนตอบรับ การเจรจา กับไพร่แดง ที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน อาสาเป็นตัวเชื่อม เป็นการแสดงความจริงใจ ในการนำบ้านเมืองให้กลับคืนสู่ความปกติ พร้อมกันนั้น ก็เป็นการตอกย้ำให้สังคมเห็นชัดขึ้นว่า ใครคือ ผู้นำสูงสุด ของ ขบวนการไพร่แดง และมีเป้าหมายอะไร

อีกด้านหนึ่ง นายอภิสิทธิ์ เปิดเกมรุกด้านข้อมูลข่าวสาร โดยพุ่งเป้าไปที่ตัว นช. ทักษิณ โดยตรงว่า เป็นไพร่ หรือเป็นอำมาตย์ เป็นนักประชาธิปไตย แต่ทำไมประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย จึงไม่ต้อนรับ แต่กลับขึ้นบัญชี เป็นผู้ร้ายหนีคดีข้ามแดน

เป็นครั้งแรก ที่นายอภิสิทธิ์ “ อัด” นช. ทักษิณ อย่างตรงไปตรงมา

พร้อมกันนั้น นายอภิสิทธิ์ ก็ชี้ให้สังคมเห็นว่า เงื่อนไขการยุบสภาของ ขบวนไพร่แดง เป็นเรื่องบังหน้าเท่านั้น เจตนาที่แท้จริงคือ การช่วย นช. ทักษิณ ให้พ้นผิด และได้เงิน 46,373 ล้านบาทคืน

ดูไปแล้ว ก็เหมือน สังคมไทยจะถึงทางตัน แต่ความจริงแล้ว การชุมนุมของ ขบวนไพร่แดง เพิ่งเริ่มมาได้ เพียง 10 วันเท่านั้น เป็นเพียง หลักกิโลเมตรแรก เมื่อเทียบกับการชุมนุม ขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

คนไทยต้องอดทน อดกลั้น ให้เวลา ให้โอกาส ให้กำลังใจกับนายอภิสิทธิ์ อย่าตกเป็นเหยื่อของ นช. ทักษิณ ที่หวังจะให้เกิดความวุ่นวาย ในบ้านเมือง ใช้การชุมนุม เคลื่อนไหว บ่อนทำลาย การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจให้หยุดชะงัก เพื่อให้เกิดความไม่พอใจในตัวนายอภิสิทธิ์

“จนตรอก” กับ ”ถึงทางตัน” มีความหมายเหมือนกันคือ ไปต่อไม่ได้ ต้องหันกลับมาสู้ยิบตา เพื่อหาทางออกให้กับตัวเอง ดูเหมือนว่า ไม่ใช่ สังคมไทย แต่เป็น นช. ทักษิณ ที่ถึงทางตัน ต้องหันกลับมาแว้งกัด คนไทย เหมือนหมาจนตรอก อย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้

ประเทศไทยยังไม่ถึงทางตัน ทำไม ต้องยุบสภา เพื่อ“ ทักษิณ”




ข้อเรียกร้องจากกลุ่มเสื้อแดงให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา ถูกนำไปเปรียบเทียบกับ ข้อเรียกร้องของนายอภิสิทธิ์สมัยที่เป็นหัวหน้าฝ่ายค้าน ที่อภิปรายในสภา ให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ยุบสภา เพราะมีการประท้วงขับไล่รัฐบาลของกลุ่มพันธมิตร ประชาชนเพื่อประชิปไตย อย่างยืดเยื้อยาวนาน

แต่ข้อเท็จจริงของสถานการณ์ตอนนี้ กับเหตุการณืในขณะนั้น ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้เลยอย่างสิ้นเชิง




สถานการณ์เมื่อกลางปี 2551 ที่มีการชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดนั้น นายสมัครไม่สามารถบริหารบ้านเมืองได้ เพราะตั้งตัวเป็นศัตรูกับประชาชนผู้ชุมนุมเสียเอง นายสมัคร และรัฐมนตรีบางคนเช่น ร.ต,อ. เฉลิม อยู่บำรุง ทำตัวเป็น คนเชียร์แขกให้พันธมิตร พูดจายั่วยุให้ประชาชนโกรธแค้น จนออกมาร่วมชุมนุมกันมากๆ

(ปัญหาของคนเสื้อแดง ที่กำลังหาทางลงอยู่ตอนนี้คือ ไม่มีคนเชียร์แขก แบบ ทักษิณ สมัคร และเฉลิม ทำให้ผู้ชุมนุมร่อยหรอลงอย่างรวดเร็ว เพราะ เงินไม่มา อุดมการณ์ไม่มี)

รัฐบาลในขณะนั้น ไม่ทำอะไรเลย นอกจากจะแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อช่วยให้นช. ทักษิณ พ้นคดี การชุมนุมของพันธมิตรก็มีชนวนมากจาก สส พรรคพลังประชาชน จะแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 309 เพื่อทำให้ คตส. ไม่มีอำนาจในการฟ้อง นชข. ทักษิณ

ต่างจากการชุมนุมของคนสื้อแดงในตอนนี้ ที่รัฐบาลควบคุมสถานการณ์อยู่ นายอภิสิทธิ์ และรัฐมนตรีอื่นๆ ไม่ได้พูดจายั่วยุ อาฆาตมาดร้าย ราวกับว่า ผู้ที่มาชุมนุม ไม่ใช่คนไทยด้วยกัน แต่เป็นศัตรู ที่จะต้องทำลาย เหมือนที่นายสมัคร มีท่าทีต่อ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

การเตรียมการป้องกันเหตุรุนแรงจากความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ก็เป็นไปอย่างเปิดเผย โปร่งใส โดย มีนโยบายชัดเจนว่า ห้ามใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม นายอภิสิทธิ์ เองก็อยู่บัญชาการด้วยตนเอง ไม่ได้หลบลี้หนีหน้า ทิ้งให้ทหาร ตำรวจ รับผิดชอบกันเอาเอง เหมือนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์

วัดกันจาก ความรู้สึกของนักลงทุนในตลาดหุ้นก็ได้ว่า พวกเขามองการบริหารจัดการ สถานการณ์ของนายอภิสิทธิ์เปรียบเทียบกับนายสมัคร และนายสมชายอย่างไร

สถานการณ์ในวันนี้ จึงไม่อาจนำไปเปรียบเทียบกับ สถานการณ์ภายใต้รัฐบาลหุ่นเชิดของทักษิณ เพราะภาวะผู้นำของนายกรัฐมนตรีต่างกัน และพลานุภาพของคนเสิ้อแดง ไม่อาจเทียบได้กับคนเสิ้อเหลืองเลยแม้แต่น้อย

แล้วจะยุบสภาไปทำไม ในเมื่อบ้านเมืองยังเดินต่อไปได้ หุ้นก็ขึ้นเอาทุกวันๆ การชุมนุม ของคนเสื้อแดงที่เพิ่งจะเริ่มมาได้ไม่กี่วัน ก็แผ่วลงอย่างรวดเร็ว ยุบสภา แล้วแก้ปัญหาอะไรได้ นอกจากแก้ปัญหาให้ นช.ทักษิณ ชินวัตรคนเดียว

การยุบสภา เป็นเหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ของ นช. ทักษิณ เพราะเขาหวังว่า พรรคเพื่อไทยจะได้เสียงข้างมาก ได้จัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง แล้วจะเสนอแก้รัฐธรรมนูญใหม่ ออกกฎหมายนิรโทษกรรม พื่อฟอก นช. ทักษิณ ให้หลุดจากคดีที่ดินรัชดา ที่โดนตัดสินให้จำคุก 2 ปี และคดีอื่นๆ ที่ยังค้างอยู่ในศาล แล้วคืนเงิน 467,363 ล้านบาท ที่ศาลฎีกาสั่งให้ริบเป็นของแผ่นดิน

ข้อเรียกร้องในการยุบสภา ก็มีเหตุผลเพียงเท่านี้แหละ เป็นลูกไม้ตื้นๆ คือ ช่วยให้ นช. ทักษิณ กลับมามีอำนาจอีกครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ เหตุผล เรื่อง สองมาตรฐาน ความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ระหว่างคนเมืองกับคนชนบท การต่อสู้ทางชนชั้น ปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่มีพื้นที่ส่วนกลางให้คุยกัน อย่างที่พวกนักวิชาการบางกลุ่ม ชอบอ้างกันอย่างเลื่อนลอย หน้าจอทีวี ใช้วาทกรรมเท่ห์ๆ ที่ฟังไม่รู้เรื่อง มาปกปิดอคติของตนเอง แต่ไม่ยอมพูดถึงข้อเท็จจริงที่เห็นได้อย่างง่ายๆว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เป็นปัญหาที่เกิดจาก นช. ทักษิณ ทำผิดแล้ว ไม่ยอมรับผิด ไปโทษอำมาตย์ โทษระบบศาลยุติธรรมของไทย เพราะว่า เคยชินกับการทำอะไรตามอำเภอใจ เรื่องไหนกฎหมายห้ามไว้ก็แก้กฎหมายเสีย ถ้าถูกจับได้ ก็โกหก แก้ตัวน้ำขุ่นๆ จวนตัวจริงๆ ก็ซื้อผู้พิพากษา

บ้านเมืองของเรา ในช่วงหกเจ็ดปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ยุคนช. ทักษิณ ครองอำนาจ เราไม่สนใจเรื่องความถูกผิด ไม่สนใจกฎหมาย การดำเนินคดีกับ นช. ทักษิณ เป็นจุดเปลี่ยน ที่จะทำให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ใครทำผิดก็ต้องรับผิด

ข้อเรียกร้องให้ยุบสภา ให้หันหน้ามาเจรจากันของบรรดานักวิชาการ ไม่เว้นแม้กระทั่ง คนที่ ใครต่อใครยกย่องให้เป็นปูชนียบุคคล อย่างหมอประเวศ วะสี ความจริง เป็นข้อเรียกร้องที่มีมานานแล้ว และเป็นกลยุทธ์การต่อสู้หนึ่ง ของ นช. ทักษิณ ซึ่งถูกตั้งคำถามย้อนกลับไปเช่นกันว่า ใครจะเจรจากับใคร เจรจากันเรื่องอะไร คนที่ไปเจรจานั้น มีอำนาจ มีความชอบธรรมที่จะเจรจาไหม จนป่านนี้ ยังไม่มีคำตอบกลับมา แต่ข้อเรียกร้องนี้ก็กลับมาอีกครั้งหนึ่ง ในช่วงที่การชุมนุมของคนเสื้อแดง กำลังหาทางลง และนช. ทักษิณ กำลังจะปิดฉากสงครามครั้งสุดท้ายของตน

ปล่อยให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปอย่างเป็นธรรมชาติ ให้นายอภิสิทธิ์ ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป ปล่อยให้ นช. ทักษิณ ใช้กรรมที่ตัวเองก่อขึ้นเอง ทุกเรื่องราวในชีวิต หากดำเนินไปตามทำนองคลองธรรม ล้วนสามารถคลี่คลาย หาทางออกด้วยตัวของมันเองได้ ประวัติศาสตร์การเมืองไทย ในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา ก็เป็นไปในวิถีทางเช่นนี้

จะยุบสภา เพื่อช่วยนช. ทักษิณ ให้โง่ไปทำไมกัน

วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2553

สงครามครั้งสุดท้ายของทักษิณ



แม้นว่าสงครามการเมืองที่ทักษิณนำทัพจากนอกประเทศ ด้วยการใช้เทคโนโลยีสื่อผสมบัญชาการตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม ที่ผ่านมาให้กองทัพคนเสื้อแดงปฏิบัติการและให้ยื้อการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่อไป โดยสงครามการเมืองครั้งนี้ที่กองทัพคนเสื้อแดงใช้กรุงเทพมหานคร เป็นจุดดุล (Centre of Gravity) ของสมรภูมิเช่นเคย ตามทฤษฎีของเคลาสวิทซ์ แต่ไม่สามารถดำเนินกลยุทธ์ได้ตามแผน เพราะทุกแผนปฏิบัติของคนเสื้อแดงถูกฝ่ายภาคประชาชนและภาครัฐป้องกันไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ยุทธวิธียืดหยุ่น (Flexibility Tactics) เป็นยุทธวิธีประยุกต์ที่ฝ่ายศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส.ซึ่งได้รับการสถาปนาเป็นกลไกของรัฐในการใช้ควบคุมสถานการณ์ ที่ฝ่ายทักษิณ ซึ่งใช้กลุ่มเสื้อแดงในการล้มล้างรัฐบาลของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยใช้อำนาจตามกฎหมายตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ใช้ในการรับมือการชุมนุมที่หวังผลก่อกวนสร้างความสนใจของสังคมให้เกิดความคิดหลากหลาย ทั้งรำคาญ ทั้งเบื่อ หรือแม้กระทั่งคล้อยตาม เพราะเป้าหมายการชุมนุมต้องการกระตุ้นอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของสังคม ให้เป็นตัวช่วยบีบบังคับรัฐบาลอีกทางหนึ่ง อันเป็นปรัชญาหลักของการชุมนุมต่อต้านระบบใดระบบหนึ่ง ตามหลักสังคมวิทยาและรัฐศาสตร์

หลักการยืดหยุ่นใช้ได้ผลถึงแม้ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์แบบ แต่ก็สามารถอ่อนตัวรับการปฏิบัติการ ซึ่งฝ่ายคนเสื้อแดงต้องการสร้างกระแสให้นำสู่การใช้กำลังต่อต้านด้วยความรุนแรง

การที่สร้างปราการของ ศอ.รส.ไว้ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ถนนพหลโยธิน นั้น เป็นการบีบบังคับไม่ให้ฝ่ายเสื้อแดงสามารถรวมตัวกันเป็นกลุ่มมวลชนขนาดใหญ่ได้ แต่ถูกบีบให้อยู่ในแนวเส้นตรงยาวตามถนน ไม่มีโมเมนต้มในการสร้างกระแส และกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์มีพื้นที่ภายในด้านหน้ากว้างขวางเป็นลานใหญ่ และมีสนามบินที่เฮลิคอปเตอร์วิ่งขึ้นและลงได้อย่างสะดวก มีรั้วรอบขอบชิด รวมทั้งได้ใช้ยุทธวิธีทางทหารในการป้องกันการรุกด้วยการวางลวดหนามหีบเพลง ซึ่งยากพอสมควรที่จะทำลายได้ง่ายๆ ทั้งยังสามารถสร้างแนวลวดหนามป้องกันได้รวดเร็วหากคนเสื้อแดงผลักดันผ่านประตูทางเข้า – ออกของหน่วยทหารแห่งนี้ได้ และมีเวลาที่นายกรัฐมนตรี และคณะใน ศอ.รส. สามารถจะย้ายที่บังคับบัญชาไปยังที่ที่จัดสำรองไว้แล้ว ทำให้การบังคับบัญชาสั่งการไม่ขาดตอน เพราะระบบทั้งที่ติดตั้ง ณ ศอ.รส. ที่ ร.11 รอ. กับ ศอ.รส.สำรองที่มีมากกว่า 1 แห่ง ได้ติดตั้งอุปกรณ์สื่อสารและคอมพิวเตอร์บันทึกข้อมูลเดียวกันทั้งหมด จึงไม่มีอุปสรรคปัญหาในการประเมินสถานการณ์และสั่งการให้เหมาะสมกับสถานการณ์

หน่วยพลเรือน ทหาร และตำรวจ ที่เกี่ยวข้องกับแผนการรับมือคนเสื้อแดง ได้รับการอบรมและสั่งการ รวมทั้งการฝึกจำลอง (Simulation) ไว้บ้างแล้ว จึงทำให้การประสานงานราบเรียบ เจ้าหน้าที่ไม่ตระหนกตกใจ

มีหน่วยเคลื่อนที่เร็วในการสยบสถานการณ์มิให้ลุกลามหากคนเสื้อแดงใช้ความรุนแรง เช่น การยึดรถเมล์ รถบรรทุกน้ำมัน หรือรถบรรทุกก๊าซ ด้วยเจ้าหน้าที่ที่ชำนาญในการดับเพลิงและถอดระเบิด ที่มีอุปกรณ์และสารเคมีไว้พร้อมรับสถานการณ์

มีฝ่ายการข่าวกรองนอกเครื่องแบบแฝงตัวเต็มไปในทุกพื้นที่ที่คาดว่าคนเสื้อแดงจะไปปฏิบัติการ เช่น ในเขตรับผิดชอบของหน่วยทหารหรือตำรวจหน่วยใด หน่วยนั้นก็จัดเจ้าหน้าที่การข่าวที่ชำนาญงานรายงานลำดับเหตุการณ์เข้ามาที่ ศอ.รส. ซึ่งมีการประชุมประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และนายกรัฐมนตรีสามารถรับข้อมูลและตัดสินใจตามระบบการนำเสนอของฝ่ายเสนาธิการ ตามวิธีการของทหารซึ่งมีการกลั่นกรองการข่าวจากการสั่งการของฝ่ายคนเสื้อแดงที่ต้องออกอากาศสั่งการหรือแสดงเจตนาจากเวที ซึ่งง่ายแก่การวิเคราะห์ เพราะเป็นข้อมูลเปิด

ศอ.รส.มีมาตรการ 7 ขั้นตอน ซึ่งชัดเจนมากในเจตนารมณ์ที่จะหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง หรือยั่วยุให้เกิดความรุนแรง เช่น การใช้หน่วยปฏิบัติการจิตวิทยาของหน่วยบัญชาการรบพิเศษ ตั้งวงปราศรัยควบคู่ ณ บริเวณ ศอ.รส. กรม ร.11 รอ. ด้วยอุปกรณ์เครื่องเสียงที่มีกำลังวัตต์มากกว่าในข่มกลบเสียงของฝ่ายคนเสื้อแดง มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในกรุงโตเกียวเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1970 เมื่อ ยูคิโอะ มิชิมา (Yukio Mishima) นักประพันธ์ขวาจัด นิยมลัทธิชิโด ยึดกองบัญชาการป้องกันตัวเองภาคตะวันออกของญี่ปุ่น เพื่อกระตุ้นให้ทหารญี่ปุ่นทำการปฏิวัติรัฐประหาร แล้วนำศักดิ์ศรีคนญี่ปุ่นกลับคืนด้วยหนทางบูชิโด

และวันนั้นเขาได้แจ้งให้เพื่อนนักหนังสือพิมพ์มาทำข่าว ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเพื่อน น.ส.พ. ได้เช่าเฮลิคอปเตอร์พร้อมอุปกรณ์การแพร่ภาพทางโทรทัศน์ ซึ่งเป็นความต้องการของมิชิมาอยู่แล้ว แต่เสียงของเฮลิคอปเตอร์กลบเสียงของมิชิมาที่กำลังกล่าวสุนทรพจน์ปลุกเร้าให้ทหารอาทิตย์อุทัยย้อนยุคกลับเป็นกองทัพบูชิโด หรือวิถีนักรบ หรือวิถีซามูไร ที่เป็นความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง ดำรงศักดิ์ศรี สร้างสังคมบริสุทธิ์และยุติธรรม นับถือการต่อสู้ การดำรงเกียรติ และการยอมตาย

เสียงมิชิมาถูกกลบโดยเสียงเฮลิคอปเตอร์ ทหารไม่ได้ยินว่ามิชิมาพูดอะไร เขารู้ว่าตัวเองแพ้แล้ว เพราะแม้ว่ากองทัพได้จัดเครื่องเสียงและแท่นพูดไว้ที่เฉลียงตึกบัญชาการ โดยผู้บัญชาการหน่วยทหารถูกจับเป็นตัวประกัน เมื่อทหารไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรก็ไร้ประโยชน์ จึงกลับเข้าไปในห้องแล้วทำพิธีสังหารตัวเอง และสมาชิกคนที่ 2 ตัดคอเขาก็สังหารตัวเองตาม และถูกตัดคอโดยสมาชิกคนที่3 พิธีนี้เรียกว่าเซปปูกู (Seppuku)

มิชิมาเคยมาเมืองไทย และเขียนหนังสือเรื่อง “วัดอรุณ” หรือ “The Temple of Dawn” ในปี ค.ศ. 1970 เกี่ยวกับการระลึกชาติ เขาเป็นคนหนึ่งที่เคยรับเลือกเข้าชิงรางวัลโนเบิล สาขาวรรณกรรมแต่ยอมสละให้ผู้อาวุโสกว่าชาวญี่ปุ่น

คนเสื้อแดงไม่สามารถที่จะใช้ยุทธบริเวณชุมชนเป็นเครื่องมือในการสร้างความวุ่นวาย เพราะไม่สามารถจะเจาะเข้าไปได้ เนื่องจากชุมชนร่วมมือกันสร้างแนวป้องกันเป็นเครือข่าย ผ่านระบบการสื่อสารโทรศัพท์มือถือ พร้อมทั้งได้เตือนแนวร่วมเสื้อแดงที่มีในแต่ละชุมชนอย่าได้ใช้ชุมชนเป็นเครื่องมือต่อรองกับรัฐบาล เช่น การปิดเส้นทางคมนาคมชุมชน สำนักงานเขตในแต่ละชุมชนก็เฝ้าระวังในเรื่องการก่อวินาศกรรมวางเพลิง ทำให้หน่วยก่อวินาศกรรมรับจ้างเสื้อแดงไม่สามารถจะลอบเข้าไปปฏิบัติการได้ นอกจากนี้ทุกชุมชนย่อมมีอาสาสมัครเฝ้าระวัง และเป็นตัวเชื่อมข้อมูลสถานการณ์กับ ศอ.รส.

แต่ก็ยังมีเหตุการณ์รุนแรง เมื่อหน่วยเคลื่อนที่เร็วของฝ่ายที่ต้องการความรุนแรง ยิงระเบิดมือเข้าไปในกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ ในวันที่ 15 มีนาคม เวลา 13.30 น. จำนวน 3 นัด โดยนัดที่ 1 ตกบริเวณหน้ากองบังคับการกรม นัดที่ 2 ตกลงบริเวณสวนสุขภาพ ซึ่งโชคดีที่ไม่มีลูกเล็กเด็กแดงไปเล่นออกกำลังกายในเวลานั้น และนัดที่ 3 ตกลงบริเวณกองพันที่ 1 ร. 1 รอ. เป็นเหตุให้ทหาร 2 นายได้รับบาดเจ็บค่อนข้างรุนแรง เมื่อสะเก็ดระเบิดฝังในร่างกาย โดยมีการคาดการณ์ว่าผู้ร้ายยิงจากรถยนต์บนถนนวิภาวดีรังสิต ขาเข้า

เมื่อกองทัพเสื้อแดงที่มีมาเพียงประมาณไม่เกิน 100,000 คน เพี้ยนไปจากที่คุยเอาไว้ว่าจะมีถึง 1 ล้านคนนั้น ไม่สามารถที่จะปรับแผนเอาชนะยุทธวิธียืดหยุ่นของรัฐได้ ก็ใช้หลักการสร้างสัญลักษณ์เอาเลือดราดทำเนียบรัฐบาล และบ้านนายกรัฐมนตรี ซึ่งมิได้สร้างความสำคัญอะไรเป็นพิเศษ ไม่มีความหมายอะไรในเชิงจิตวิทยาการเมือง และการนี้คงไม่มีใครกล้าเผาตัวเอง เช่น กรณีพระญวณเผาตัวเองในอดีตกรุงไซ่ง่อน เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2506 เนื่องจากถูกกดดันจากรัฐบาลที่เลือกปฏิบัติกับพุทธศาสนา แต่ให้สิทธิพิเศษกับโบสถ์คริสตัง โดยบังคับให้พุทธศาสนาเปลี่ยนคำสอน และห้ามพุทธศาสนิกชนเมืองเว้ชักธงพุทธศาสนาในวันสำคัญทางพุทธศาสนา และห้ามประกอบพิธีทางพุทธศาสนา คนสั่งคือรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ โง ดินห์ ถึก พี่ชาย โง ดินห์ เดียม ซึ่งถูกรัฐประหารและถูกสังหารในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2506 ถือได้ว่าเป็นเรื่องของกรรม

คำถามสำคัญ เสื้อแดงตั้งประเด็นชุมนุมต่อต้านรัฐบาลผสม และจี้ให้นายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรี ยุบสภาด้วยเหตุผลและวัตถุประสงค์อะไร รัฐบาลบริหารประเทศผิดร้ายแรงกว่ารัฐบาลทักษิณ รัฐบาลสมัคร หรือรัฐบาลนายสมชาย หรือไม่อย่างไร และถ้านายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ ยุบสภาแล้ว จะทำให้เหตุการณ์สงบลงหรือไม่ เพราะกลุ่มที่ไม่ต้องการรัฐบาลภายใต้การชี้นำของทักษิณผ่านพรรคเพื่อไทย จะมีมากกว่ากลุ่มคนเสื้อแดง เสื้อเหลือง แน่นอน แล้วความสงบสุขจะเกิดหรือไม่

คนเสื้อแดงไม่สามารถที่จะสาธยายอะไรได้มากมาย ว่าอะไรอำมาตยาธิปไตยที่แท้จริง ใครเป็นเผด็จการอำมาตย์และมีอำนาจจริงหรือ รัฐบาลอภิสิทธิ์อยู่ภายใต้อิทธิพลอำมาตย์จริงหรือ มีข้อพิสูจน์หรือไม่ หรือรัฐบาลบริหารไร้ประสิทธิภาพจริงหรือไม่ ในประการหลังก็เป็นที่รู้กันในสังคมธุรกิจและอุตสาหกรรมว่า เศรษฐกิจกำลังอยู่ในห้วงฟื้นตัว นักท่องเที่ยวเริ่มเข้ามาท่องเที่ยวในไทย การส่งออกมีสัญญาณดีมากในอีกอย่างน้อยครึ่งทศวรรษหน้า ทั้งคุณภาพ ราคาแข่งขัน และการตรงต่อเวลา

ยังไม่มีใครที่จะสามารถให้นิยามศัพท์ว่าอำมาตยาธิปไตย หรือเผด็จการอำมาตย์ เป็นอย่างไร เพราะคำแปลง่ายๆ คือ ข้าราชการ ข้าเฝ้า ที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยใช้เป็นยศของข้าราชการพลเรือน เช่น รองอำมาตย์ อำมาตย์ และมหาอำมาตย์ แต่มีการยกเลิกเมื่อ พ.ศ. 2475 ครั้งเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน

ส่วนอำมาตยาธิปไตยระบอบการปกครองที่ขุนนางหรือข้าราชการเป็นใหญ่ ซึ่งแท้จริงแล้ว พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นผู้ประกาศใช้คำสั่ง ที่ 66/23 ให้เป็นนโยบายต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสต์ ด้วยการรุกทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง เปลี่ยนจากความรุนแรงเป็นทางสันติ และใช้มวลชนเป็นตัวชี้วัด และเพื่อขจัดเงื่อนไขที่คอมมิวนิสต์ใช้เป็นเครื่องมือเกณฑ์สมาชิกด้วยการโจมตีรัฐบาลทุจริต คอร์รัปชัน และกดขี่ราษฎร ส่วนประกาศ ที่ 66/25 นั้น เป็นแผนรุกทางการเมือง ต่อต้านแนวทางของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ด้วยการที่รัฐบาลต้องสร้างศรัทธาให้กับประชาชน เน้นให้ข้าราชการทุกฝ่ายให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนหรือแท้จริงแล้วคือการกำจัดข้าราชการชั่วนั่นเอง