วันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ม๊อบเสื้อแดง = ม๊อบถ่อย






รูปภาพแค่ไม่กี่ภาพก็ไม่ต้องบรรยายอะไรแล้ว บอกได้คำเดียว ถ่อย

เสื้อแดงยกแรก : แค่ไหว้ครูสร้างราคา




โชคดีที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่บ้าจี้เหมือนสมชาย ยังรักษารูปมวยได้นิ่ง เริ่มจากประกาศไม่ให้ใช้ความรุนแรง เมื่อมีการปิดล้อมก็ไม่ดื้อดึงส่งสัญญาณเลื่อนเวลาประชุมออกไปเรื่อย ๆ รัฐธรรมนูญไม่ได้ขึงตึงเหมือนที่พรรคพลังประชาชนยุคสมชายตื่นตกใจ เพราะแม้มาตรา 176 บอกว่าให้แถลงนโยบายภายใน 15 วันนับจากโปรดเกล้าฯนายกรัฐมนตรี (17 ธ.ค.) แต่ได้เปิดช่องไว้ในวรรค 2 “หากมีกรณีที่สำคัญและจำเป็นเร่งด่วน หากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะกระทบต่อประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน ครม.ที่เข้ารับหน้าที่จะดำเนินการไปพลางก่อนเท่าที่จำเป็นก็ได้” เห็นว่ามีม็อบมาล้อมก็เลื่อนเป็น 5-6-7-8-9-10 มกราคมปีหน้า ก็ยังไม่เสียหายอะไรในทางนิตินัย ในทางกลับกันหากปู่ชัยประกาศว่าให้พร้อมเข้าประชุมแถลงนับแต่วันที่ 5 เป็นต้นไป เสื้อแดงต่างจังหวัดมิต้องแหกตาตื่นมาล้อมทำเนียบตั้งแต่คืนวันที่ 4 หลอกให้นั่ง นอน กิน ขับถ่ายบนถนนรอเวลาไปเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่าวันไหนแน่ หมากตานี้ของประชาธิปัตย์ ยังกุมความได้เปรียบหากมองไปที่การแถลงนโยบายเป็นธงของชัยชนะในสมรภูมิย่อยแห่งนี้ อย่างน้อยที่สุดประชาธิปัตย์ได้พยายามรื้อฟื้นมาตรฐานการจัดการมวลชนที่อยู่ภายใต้ธรรมาภิบาลและการเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เอาไว้ จัดการเป็นขั้นตอน เริ่มจากใช้น้ำเย็น แจกใบปลิว เจรจา ตักเตือน .... เป็นลำดับขั้นไปโดยหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงกับประชาชนไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นเสื้อสีใดก็ตาม หากหนักข้อขึ้นในช่วงปีใหม่ ก็ยังขอพึ่งอำนาจศาลแพ่งดั่งที่รัฐบาลที่แล้วเคยใช้ ขอเปิดทางประตูเข้ารัฐสภาสักประตูเพื่อให้รถผ่านเข้าออกสะดวก ยังมีทางหนีทีไล่ ทั้งรุก-ถอยอีกมากมายให้เล่น ตอนนี้แค่เพียงนั่งในห้องแอร์จิบน้ำชารอเวลาเท่านั้น มองไปที่ถนนอู่ทองในบ้าง - มวลชนเสื้อแดงไม่มากอย่างที่คิด อย่างน้อยก็ไม่เท่ากับสนามราชมังคลาฯ ยกแรกนี้เป็นการชิมลาง และอุ่นเครื่องดูสภาพมวลชนว่าจะทนกินนอนบนถนนแบบข้ามคืนไปสักสองคืนหรือไม่ แกนนำหัวขวดคงมีสมองอยู่บ้างแม้ช่วงเที่ยงของวันแรกได้ปลุกใจมวลชนเสื้อแดงว่าจะอยู่ฉลองปีใหม่แบบข้ามปี แต่นั่นก็เป็นแค่คำปลุกปลอบใจและเป็นแค่การส่งคำขู่ข้ามไปยังพรรคประชาธิปัตย์มากกว่า ถ้าปักหลักอยู่หน้ารัฐสภาข้ามปีจริง คงต้องยกนิ้วให้และต้องประเมินม็อบเสื้อแดงใหม่กันทีเดียว นี่เป็นมวยแบบยกสำนักมาสู้กัน ระหว่างปชป.ที่มีสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเทรนเนอร์ กับ ม็อบเสื้อแดงที่มีสามเกลอหัวขวดเป็นผู้จัดการ รับจ้างเจ้าแม่เจ้าและนายห้างเจ้าของค่ายตัวจริงมาอีกที ศึกนี้อาจจะยืดเยื้อยาวนาน นี่จึงเป็นแค่ยกแรก-สมรภูมิแรก เริ่มจากไหว้ครูโชว์รูปมวยเท่านั้น ข่าวที่ออกมาว่า ‘เจ้าแม่วังบัวบาน’ ปีนเกลียวกับ ‘อ้ายยุทธ แม่จัน’ นั้นเป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะเรื่องยุทธศาสตร์ใช้ม็อบจัดการปชป. พรรคเพื่อไทย ยุคนี้อยู่ภายใต้บงการเจ้าแม่เพียงหนึ่งเดียว ตอนที่พันธมิตรฯ ประกาศแนวทาง ‘ประชาภิวัตน์’ เจ๊ยังกลมเกลียวกับอ้ายยุทธ แต่ตอนนี้อ้ายยุทธสวมแว่นคนละสีกับเจ้าแม่ นี่จึงเป็นพรรคเพื่อไทยยุคช่วงชิงอำนาจรัฐกลับ ภายใต้ยุทธศาสตร์ ‘เยาวภาภิวัตน์’ เพียงหนึ่งเดียว ในเมื่อเจ้าแม่ตัดสินใจเชื่อในแนวทางหัวขวดแล้ว ไม่มีทางเลือกอื่นใดสามเกลอหัวขวดต้องเพียรสร้างศรัทธาเพาะปลูกเครดิตของตนเองโดยเร็ว... ศึกยกแรกม็อบเสื้อแดงล้อมสภาจึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของพวกเขา มิฉะนั้นจากเยาวภาภิวัตน์ อาจจะกลายเป็น ‘เยาวภาพิบัติ’ แบบเรือไม่ทันออกปากอ่าว ไม่ได้หวังน็อกอะไรหรอก ! แค่สองวันก็เต็มกลืนแล้ว ซุนหวู่บอกว่าออกศึกต้องพิจารณสภาพแวดล้อม ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ รู้ซึ้งถึงจิตใจไพร่พล ... นี่เล่นยกทัพมาตอนสิ้นปีเขาฉลองปีใหม่กันทั้งเมืองจะปล่อยให้เสื้อแดงล้อมสภาบ้าอยู่โดยลำพังข้ามปีได้อย่างไร อันที่จริงพวกเขาตั้งการ์ดรัดกุมพอสมควร โดยเฉพาะหมากที่บอกว่าไม่ได้ปิดล้อม จะเปิดทางกว้าง 2 เมตรให้ส.ส. /ส.ว. เดินเข้า พร้อม ๆ กับแสดงอิทธิฤทธิ์เสื้อแดงแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและพลังของตน – สร้างราคาให้กับตนเอง – เรียกความเชื่อมั่นจากเจ๊และนายห้างเป็นสำคัญ ก็เป็นยุทธศาสตร์ และ ยุทธวิธี ที่สามเกลอเสื้อแดงวางไว้ เพราะถึงจุดหนึ่งก็จะประกาศชัยชนะที่ทำให้รัฐบาลไม่กล้าเข้ามาแถลงนโยบายตามกำหนดเวลาเดิม แบบทำเป็นลืม ๆ ไปว่าเป้าหมายที่ประกาศเดิมนั้นคือบังคับให้อภิสิทธิ์ยุบสภา ซึ่งแท้จริงแล้ว สมรภูมิว่าด้วยการแถลงนโยบายเป็นแค่น้ำจิ้มที่ไม่มีผลอะไรเลย เมื่อปล่อยให้เสื้อแดงแสดงอิทธิฤทธิ์ออกมาจนหนำใจ รัฐบาลแค่แสดงต่อสาธารณะว่าพยายามใช้ไม้นวมเป็นขั้นตอนแล้วหากจำเป็นจริง ๆ สโมสรกองทัพเรือเข้าทางรถ ออกทางน้ำได้สะดวกก็ยังเป็นทางเลือกหนึ่งซึ่งเรื่องนี้ยังไม่เกิดง่าย ๆ หรอกเพราะยังมีเวลาเหลืออีกเยอะ เป็นแค่ทางเลือกหนึ่งที่มีหลากหลายมาก ประชาธิปัตย์ก็เตรียมเก็บเกี่ยวคะแนนเหมือนกัน ! นี่เป็นการศึกอย่างเป็นทางการยกแรกระหว่างเสื้อแดงกับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะก่อนหน้านี้เป็นศึกระหว่างเสื้อแดงกับพันธมิตร ยังไง ๆ ไม่ควรดูเบาประชาธิปัตย์ –วิชาแบบแกนนำเสื้อแดงมีติดตัวนั้นอย่าคิดว่าคนของพรรคประชาธิปัตย์ไม่มี...ไม่อยากใช้คำวิชามารหรอก ใช้คำว่ากระบวนท่าพิสดารดีกว่า นี่แค่ต้นยกไหว้ครูเสร็จ เสื้อแดงออกอาวุธประปราย.. ยังไม่เห็นประชาธิปัตย์ออกอาวุธสักดอก ยกแรกเรื่องแถลงนโยบายไม่น่าดูหรอก รอการออกอาวุธหนัก ๆ กันดีกว่า ไม่ได้เป็นหมอดูหรอกแต่มีลางสังหรณ์ว่าในยกสองหรือสาม อาจจะเห็นหมัดสวย ๆ ลอยมาจากที่ไหนไม่รู้ตรงไปที่นายตู่ จตุพร ว่าด้วยรายได้และการเสียภาษีของเขาในช่วง 3-5 ปีมานี้ ดูเหตุการณ์โดยรวมแล้วตู่-จตุพร เตรียมรับหมัดนี้ไว้ได้เลย ! ไม่คอนเฟิร์มและไม่กราบ teen ใครนะ..ถ้าผิดแล้วไป แต่ถ้าถูก ตู่ จตุพรก็รับไปคนเดียว !!!

จาบจ้วงหรือ ไม่ ? ?



จากเหตุการณ์ปิดล้อมรัฐสภา เพื่อมิให้รัฐบาลของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เข้าแถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 176 ของ “ม็อบเสื้อแดง” หรือ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.ที่เริ่มการชุมนุมมาตั้งแต่วานนี้ (28 ธ.ค.) ต่อเนื่องจนถึงวันนี้ ตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้ (29) ในการชุมนุมของกลุ่ม นปช.ที่บริเวณหน้ารัฐสภา ได้มีการตั้งเวทีปราศรัยขึ้นโดยเป็นเวทีปราศรัยที่ตั้งประจันหน้ากับอาคารรัฐสภา และหลังพิงอยู่กับสวนสัตว์ดุสิต ทั้งนี้ เวทีปราศรัยดังกล่าวของ นปช.มีผู้สังเกตการณ์ ผู้สื่อข่าว และช่างภาพจำนวนหนึ่ง ได้จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม เนื่องจากฉากหลังของเวทีมีการเขียนข้อความที่ไม่เหมาะสมไว้คู่กับพระบรมบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า ในช่วงสายของวันที่ 29 ธ.ค.นั้น ที่บริเวณเวทีปราศัยของกลุ่มนปช.ซึ่งตั้งอยู่หน้ารัฐสภานั้น มีการนำภาพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ มาติดที่ฉากหลังของเวที พร้อมทั้งข้อความที่อยู่บริเวณด้านข้างขนาดใหญ่ว่า “อภิสิทธิ์ชนโจร” ทั้งนี้ รูปพระบรมฉายาลักษณ์ดังกล่าวนั้นได้นำมาติดตั้งในวันนี้(29 ธ.ค.)เป็นวันแรก ซึ่งเป็นวันแถลงนโยบายของรัฐบาล ทั้งๆนี้เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.ที่ผ่านมานั้น ฉากหลังเวทีดังกล่าวยังมีเพียงข้อความว่า “อภิสิทธิ์ชนโจร” เท่านั้นและไม่มีภาพพระบรมฉายาลักษณ์ ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า การนำภาพพระบรมฉายาลักษณ์มาติดด้านข้างข้อความ “อภิสิทธิ์ชนโจร” นั้น ทำให้เป็นที่วิจารณ์อย่างกว้างขวางทั้งจากผู้ที่พบเห็นและสื่อมวลชนว่าไม่เหมาะสม จนมีการโพสต์ในเวปไซด์ต่างๆ รวมทั้งยังมีการเสนอภาพข่าวในช่วงข่าวภาคเที่ยงของสถานีโทรทัศน์หลายช่องด้วย จนมีวิพากษ์วิจารณ์ด้วยว่า อาจถูกตีความที่ล่อแหลมนำไปสู่การละเมิดสถาบันได้ อย่างไรก็ตาม มีการขอร้องให้แกนนำนปช.เอาภาพพระบรมฉายาลักษณ์ออกจากเวที จนทำให้แกนนำต้องปลดภาพพระบรมฉายาลักษณ์ออกจากหลังฉากเวทีในช่วงเที่ยง เหลือเพียงแค่ข้อความว่า “อภิสิทธิ์ชนโจร” เท่านั้น ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ก่อนหน้านี้กลุ่มนปช.ถูกจับตามองหลายครั้งว่าละเมิดสถาบันจากการจัดเวทีตั้งแต่เมื่อครั้งต่อต้านคมช.ที่สนามหลวง ซึ่งครั้งนั้นมีการแจกใบปลิวรวมถึงการปราศัยหลายครั้งที่หมิ่นเหม่ต่อสถาบัน ขณะที่พ.ต.ททักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ถูกวิจารณ์ว่าไม่เคารพสถาบันซึ่งเป็น 1ใน4 เหตุผลของการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 49 ซึ่งทุกครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอิน เข้ามายังมวลชนเสื้อแดงนั้น จะยืนยันเสมอว่าจงรักภักดีต่อสถาบัน ทุกอย่างเป็นข้อกล่าวหา และยังขอพึ่งพระบารมีให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนำตัวพ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศไทย นอกจานี้แกนนำกลุ่มนปช.บางคนเช่น นายจักรภพ เพ็ญแข ยังมีคดีหมิ่นสถาบันจากการพูดที่ประเทศอเมริกา จนทำให้นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี กดดันให้นายจักรภพลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ขณะที่การปราศัยหลายครั้งที่เวทีสนามหลวง ก็เคยมีการวิพากวิจารณ์ถึงฉากหลังเวทีที่มีรูปไดโนเสาร์สวมแหวนเพชรบลูไดมอนด์ จนมีการโพสต์ ในเวปไซต์ ต่างๆอย่างกว้างขวาง จนกลุ่มพันธมิตรฯนำไปปราศัยว่าไม่เหมาะสม ประกอบกับแกนนำนปช.อย่างสุชาติ นาคบางไทร ได้พูดหลบหลู่สถาบันจนตำรวจออกหมายจับ แต่นายสุชาติ หนีออกนอกประเทศไปก่อน ขณะที่ “ดา ตอปิโด” ก็ถูกจับกุมอยู่ในเรือนจำในข้อหาคดีหมิ่นเบื้องสูงเช่นกัน ขณะที่การปราศัยบนเวทีนปช.จุด ที่บริเวณประตูรัฐสภาด้านถนนพิชัยนั้น มีการพูดกระทบกระเทียบนายอภิสิทธิว่า นายอภิสิทธิ์ได้ตั้งฉายารัฐบาลสมชายว่าชายกระโปรง แต่นายอภิสิทธิ์ ก็มาได้เพราะอยู่ใต้กระโปรง แต่เป็นกระโปรงใครไม่ทราบได้อีกด้วย ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า เป็นเรื่องที่มิบังควรอย่างยิ่ง ที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.ทำฉากเวทีโดยมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนารถอยู่แถวเดียวกับคำว่า “อภิสิทธิ์ชนโจร” ถือเป็นการส่อเจตนาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงอย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้ในช่วงพันธมิตรฯ ชุมนุม และสมเด็จพระราชินีนารถเสด็จพระราชทานเพลิงศพน้องโบว์ ในช่วงนั้น นปช. จัดเวทีที่สนามหลวงก็ทำฉากเวทีที่มีรูปไดโนเสาร์สวมแหวนเพชรบลู ไดมอน และนายสุชาติ นาคบางไทร แกนนำ นปช. ก็ปราศรัยหมิ่นสถาบันจนถูกออกหมายจับ หรือปล่อยให้มีธงชาติไทยที่มีข้อความพ่อก็ไม่รัก แม่ก็ลำเอียง ปรากฎในที่ชุมนุมที่สนามศุภฯ นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า เข้าใจว่าแกนนำพยายามจะซ่อนความหมายหรือนัยยะของการเคลื่อนไหวเพื่อให้มวลชนเข้าใจและเชื่อว่าสถาบันเบื้องสูงอยู่คนละฝั่งกับขบวนการคนรักทักษิณ ถือเป็นการจาบจ้วงซ่อนรูป หากจะแสดงความจงรักภักดีจริงจะต้องจัดวางพระบรมฉายาลักษณ์ไว้ในที่สูงสุดหรือในที่ที่อันควร ส่วนที่กลุ่มนปช.อ้างว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นการเลียนแบบการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯนั้น อยากเสนอแนะว่าอย่าเลียนแบบเฉพาะรูปแบบต้องศึกษาและเลียนแบบเนื้อหาการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ด้วย โดยเฉพาะเนื้อหาการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ที่ต่อสู้เพื่อการเมืองใหม่ แต่เนื้อหาของกลุ่ม นปช.เป็นการต่อสู้เพื่อคนคนเดียวคือ พตท.ทักษิณ นายสุริยะใส กล่าวด้วยว่า ในช่วงพันธมิตรฯ ชุมนุมหน้าสภาหรือหลายๆ ที่ แกนนำ นปช. ก็เคยเสนอแนะรัฐบาลให้ใช้กำลังสลายการชุมนุมตลอดเวลาจนเกิดเหตุการณ์ปราบปรามประชาชนในวันที่ 7 ตุลาคม แต่ในการชุมนุมของ นปช.นั้น แกนนำพันธมิตรฯ ไม่เคยเสนอให้ตำรวจใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมหรือใช้รูปแบบ 7 ตุลาคมเข้ามาควบคุมสถานการณ์ ซ้ำยังเรียกกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพสิทธิการเคลื่อนไหวด้วย สำหรับการชุมนุมปิดสภาฯ กดดันให้ยุบสภาฯ นั้น นายสุริยะใส กล่าวว่า เป็นข้อรียกร้องที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ ซึ่งสังคมวงกว้างจะไม่ตอบรับสุดท้ายก็คงจะอ่อนกำลังไปเอง และจะเห็นว่าที่หน้าสภาฯ ครั้งนี้คนก็มาน้อยกว่าที่แกนนำระบุไม่ถึงหมื่นคนด้วยซ้ำ รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ต้องระมัดระวังเรื่องความรุนแรงและการจราจลเพราะอาจเข้าทาง พตท.ทักษิณ ที่ต้องการให้เกิดความวุ่นวายและการรัฐประหารในที่สุด ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช.และส.ส.สัดส่วน สมาชิกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่ามีใครนำรูปพระบรมฉายาลักษณ์ดังกล่าวไปติดที่ฉากเวทีปราศัย แต่ยืนยันว่าไม่เจตนาละเมิดสถาบันแน่นอน เพราะกลุ่มนปช.ต้องการแสดงให้เห็นว่านปช.เทิดทูลสถาบัน แต่เนื่องจากมีความพยายามเชื่อมโยงเรื่องดังกล่าวจึงนำรูปดังกล่าวลงเพื่อป้องกันไม่ให้ไปขยายผลต่อไปและทำให้เกิดปัญหาได้ ส่วนข้อความว่า “ไม่ไว้วางใจ อภิสิทธิ์ชนโจร” นั้นเราต้องการโจมตีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี เท่านั้นไม่มีนัยยะแอบแฝง พ.ต.ท.สุรทิน พิมานเมฆินทร์ สส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ไม่ทราบว่ามีการนำพระบรมฉายาลักษณ์มาติดตั้งเป็นฉากหลังเวที แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ส่วนตัวเห็นว่าไม่เสียหาย และไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเพราะเป็นการเทิดทูน คนไหนที่ไม่เทิดทูนก็ไม่ใช่คนไทย และคิดว่า ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เหมาะสม เพราะชาวไทยต่างเทิดทูนอยู่แล้วโดยเฉพาะกลุ่มเสื้อแดงที่ต่างเทิดทูนเพราะพระองค์ท่านเป็นเหมือนเครื่องเตือนสติ ส่วนที่มีการรื้อภาพภายหลังนั้นก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะช่วงปราศรัยก็ไม่ได้สังเกตุ ส่วนเสียงวิจารณ์นั้นก็สามารถโจมตีได้ทุกเมื่อ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็น ผู้สื่อข่าวถามว่า ส.ส.ในพรรครู้เห็นกับการนำภาพพระบรมฉายาลักษณ์มาติดด้วยหรือไม่ พ.ต.ท.สุรทิน กล่าวว่า ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ ส่วนใครเอาออกก็ไม่ทราบ

วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ส.ส.เพื่อไทยรับเกณฑ์ "ม๊อบเสื้อแดง"



ผบ.ตร.พร้อมผู้บัญชาการตำรวจนครบาลรายงานสถานการณ์ให้นายกฯ หลังเจรจา “แก๊งเสื้อแดง” เหลว ไม่ยอมเปิดทางให้สมาชิกรัฐสภาเข้าสภาได้ แต่เชื่อไม่รุนแรง ขณะที่ ส.ส.เพื่อไทยยอมรับหน้าตาเฉย เกณฑ์ชาวบ้านมาเอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่พรรคประชาธิปัตย์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.10 น. พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร) พร้อมด้วย พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) และ พล.ต.ต.พงษ์สันต์ เจียมอ่อน รอง ผบช.น.ได้เดินทางเข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อเข้ารายงานสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มนปช.ที่ปิดล้อมหน้ารัฐสภา ภายหลังการหารือนานประมาณ 30 นาที พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เชิญตนมาให้ข้อมูล คงไม่มีอะไร ซึ่งรัฐบาลจะสามารถเข้าไปแถลงนโยบายต่อรัฐสภาได้หรือไม่นั้นอยู่ที่การตัดสินใจของประธานรัฐสภา ตนเพียงมาให้ข้อมูลในฐานะที่ดูแลความเรียบร้อย อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่ากลุ่มนปช.คงไม่ใช้ความรุนแรง คงไม่มีปัญหาอะไร และเหตุการณ์คงไม่รุนแรง แต่เมื่อเช้าได้ส่งคนเข้าไปพูดคุยเรียบร้อยแล้ว ส่วนผลการเจรจานั้นขอให้รออีกนิดหนึ่ง เมื่อถามว่า ในฐานะที่ดูแลความเรียบร้อย คิดว่าจะปลอดภัยหรือไม่ถ้า ส.ส.จะเข้าไปประชุมในรัฐสภาวันนี้ ผบ.ตร.กล่าวว่า ตอนนี้นปช.ก็ไม่มีความรุนแรงอยู่แล้ว แต่วิธีเข้าไปประชุมจะกำหนดให้เดินเข้า แล้วทางรัฐสภาจะเห็นควรอย่างไรก็ต้องไปคุยกันอีกครั้ง เมื่อถามต่อว่าถ้าให้เดินเข้าไปในรัฐสภา จะมั่นใจได้อย่างไรว่าตำรวจจะดูแลความปลอดภัยให้แก่ ส.ส. พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า ทางรัฐสภายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร ตนก็รอรับคำสั่งอยู่ และถ้ารัฐสภาตัดสินใจที่ให้ส.ส.เดินเข้าไป ตำรวจก็ต้องเตรียมการที่จะให้ความปลอดภัย ต่อข้อถามที่ว่า จากการหารือได้มีการเสนอหรือไม่ว่าในภาวะแบบนี้ควรตัดสินใจอย่างไร พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า ไม่มี ตนก็ให้ข้อมูลทุกอย่างไปแล้วให้ท่านตัดสินใจเอาเอง ทั้งนี้ ในส่วนของการเจรจา ตนและเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ชี้แจงให้เกิดความเข้าใจร่วมกันได้ เมื่อถามว่าถ้าการเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้ผล จะทำอย่างไร ผบ.ตร.กล่าวว่า การประชุมรัฐสภาก็เลื่อนเวลาออกไปจนถึงเวลาที่เหมาะสม ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า ตั้งแต่ช่วงเช้า กลุ่ม นปช.ที่ชุมนุมคัดค้านการแถลงนโยบายของรัฐบาลที่ชุนนุมกันอยู่หน้าบริเวณรัฐสภานั้น ได้นิมนต์พระสงฆ์จากทั่วประเทศมารับบิณฑบาตรจากผู้มาร่วมชุมนุม ในขณะที่บนเวทีแกนนำผลัดกันขึ้นปราศรัยโจมตีรัฐบาลอยู่เป็นระยะๆ โดย ส.ส.ที่เดินทางมาถึงตั้งแต่ช่วงเช้านั้น เช่น พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา สมาชิกพรรคเพื่อไทย นายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง พรรคประชาธิปัตย์ นายเกียรติกร ภาคเพียรศิลป์ ส.ส.ปราจีนบุรี อดีตพรรคมัชฌิมาธิปไตย และพ.ต.ท.สุรทิน พิมานเมฆินทร์ ส.ส.อุดรธานี สมาชิกพรรคเพื่อไทย ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า พ.ต.ท.สมชาย กล่าวกับผู้สื่อข่าวระหว่างที่เดินเข้ามาภายในรัฐสภาว่า ตนเดินทางมาก่อน เพราะมาดูลาดเลาให้กับเพื่อน ส.ส. ตอนนี้รัฐบาลกรรมตามสนอง เจอม็อบล้อมสภากับพวกตัวเองดูบ้าง ขณะที่นายเกียรติกรนั้น ระหว่างที่เดินเข้ามาภายในรัฐสภา ได้ชูมือให้กับผู้ร่วมชุมนุมอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากบัตรประจำตัว ส.ส.ของนายเกียรติกรยังระบุว่าเป็น ส.ส.ของอดีตพรรคมัชฌิมาฯ แม้ว่าขณะนี้จะย้ายไปสังกัดพรรคประชาธิปัตย์แล้วก็ตาม แต่เนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมไม่รู้จึงต่างโห่ร้องให้ตลอดทางที่นายเกียรติกรชูมือเดินเข้ามาในสภา ส่วน พ.ต.ท.สุรทินนั้น สวมชุดสีแดงทั้งชุด ยกเว้นรองเท้าที่เป็นสีขาว เดินทักทายกลุ่มผู้ชุมนุมที่อยู่บริเวณหน้าสภามาตลอดทางจนกระทั่งเข้ามาถึงภายในรัฐสภา ด้าน พ.ต.ท.สุรทิน กล่าวว่า วันนี้ตนมาในชุดสีแดงทั้งตัวไม่เว้นแม้แต่กางเกงใน เพื่อคัดค้านหากทหารใช้ 2 มาตรฐาน และถ้าหากทหารยังคงใช้ 2 มาตรฐานต่อไปตนก็จะลาออกจากการเป็น ส.ส.เพื่อไปเป็นโจร วันนี้ตนพาชาวบ้านมาเยอะแต่ไม่ขอบอกว่าจำนวนเท่าไหร่เนื่องจากผู้ใหญ่ขออาไว้ และจะทำให้นายชัย ชิดชอบ วันนี้จากตาเหล่กลับเป็นตาตรง เนื่องจากคนอีสานโดยเฉพาะคนอุดรธานีไม่ยอมรับคนตาเหล่และปากห้อย นอกจากนี้ตนจะสนับสนุนให้นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานรัฐสภาแทนนายชัยอีกด้วย ขณะที่ พ.ต.ท.สมชาย กล่าวว่า เชื่อว่าวันนี้น่าจะมีการเลื่อนการแถลงนโยบายออกไป เพราะส.ส.คงไม่มีใครกล้าเสี่ยงเข้ามา และหากเลื่อนออกไปก็น่าจะเป็นวันที่ 5-6 ม.ค.2552 อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์เช่นนี้ทางออกของประเทศคิดว่า ควรจะหาผู้ใหญ่ที่ทุกคนให้ความเคารพนับถือมานั่งเจรจากันว่า จะมีทางออกอย่างไร เพราะไม่เช่นนั้นก็จะเกิดเหตุการณ์คัดค้านอย่างนี้ตลอด รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมากลุ่มเสื้อแดงก็คัดค้าน รัฐบาลพรรคเพื่อไทยขึ้นมากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็คัดค้าน ดังนั้นผู้ใหญ่ควรเป็นประธานในการเจรจากัน และให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีลาออก จากนั้นให้คนของพรรคเล็กในพรรคร่วมรัฐบาลมาเป็นนายกฯ และหารือกันว่าจะบริหารงานกี่เดือนก่อนที่จะยุบสภา ดังนั้น อยู่ที่ว่านายอภิสิทธิ์จะยอมหรือไม่ หากนายอภิสิทธิ์ยังหลงใหลมัวเมาในอำนาจก็คงไม่มีทางออกของประเทศแน่ จวก ทหารตัวปัญหาของประเทศ พ.ต.ท.สมชาย กล่าวด้วยว่า ส่วนทหารนั้นก็ถือว่าเป็นตัวปัญหาของประเทศเช่นกัน ดังนั้น ต้องวางตัวเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่ยุ่งเกี่ยวหรือให้ท้ายฝ่ายใด ต้องอยู่ในที่ตั้ง เพราะทหารเป็นตัวแปรสำคัญที่คุมกำลังอยู่ เชื่อว่าหากสถานการณ์วุ่นวายทหารก็อาจจะทำการปฏิวัติก็ได้ สำหรับการรักษาความปลอดภัยภายในรัฐสภา มีเจ้าหน้าที่ตำรวจตชด.และหน่วยปราบจลาจลจำนวน 8 กองร้อย อยู่ภายในรัฐสภา ซึ่งตั้งแถวอยู่ที่ประตูทางเข้าออกด้านราชวิถีและด้านอู่ทองในด้านละประมาณ 20 คน พร้อมด้วยโล่ กระบอง และหมวก ส่วนจำนวนที่เหลือพักผ่อนบริเวณภายในรัฐสภา ส่วนภายนอกรัฐสภามี 11 กองร้อย โดยทั้งหมดมี พ.ต.อ.ทรงพล วัฒนชัย รอง ผบก.อก.บชน. เป็นผู้ควบคุม

เพื่อไทยหวั่น ส.ส.เดินเท้าเข้าสภา ตร.คุมเสื้อแดงไม่อยู่ แนะ “มาร์ค” ลาออก



ส.ส.เพื่อไทย ไม่แน่ใจ ตร.จะคุมสถานการณ์ม็อบเสื้อแดงอยู่ หากต้องให้ส.ส.เดินเท้าเข้าสภา เตือนต้องระวังอารมณ์ของผู้ชุมนุม เสนอทางออก นายกฯ ลาออก พร้อมหาคนกลางมาทำหน้าที่แทน พร้อมทั้งข้อตกลงจะยุบสภาภายใน 6 เดือน ขณะที่ “หัวขวด” โวเลือกตั้งใหม่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าใครได้เป็นนายกฯ วันนี้ (29 ธ.ค.) พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย เชื่อว่าการประชุมสภาเพื่อแถลงนโยบายของรัฐบาลในวันนี้จะต้องเลื่อนออกไป เพราะขณะนี้อารมณ์ของกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง และไม่แน่ใจว่าหาก ส.ส.เดินเท้าเข้ามาตำรวจจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้หรือไม่ ซึ่งอำนาจในการเลื่อนประชุมนั้นอยู่ที่นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาฯ จะเป็นผู้พิจารณา โดยขณะนี้ยังไม่ได้รับการประสานใดๆ อย่างไรก็ตาม เห็นว่าทางออกของปัญหาขณะนี้ คือ การหาคนกลางที่สังคมเคารพมาเป็นประธานในการเจรจา และเชื่อว่าไม่ว่านายกรัฐมนตรีจะเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคเพื่อไทย ก็ไม่สามารถที่จะยุติความขัดแย้งของมวลชนทั้งสองฝ่ายได้ จึงเสนอให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ลาออกและหาบุคคลจากพรรคขนาดกลางมาทำหน้าที่ และทำข้อตกลงว่าจะประกาศยุบสภาภายใน 6 เดือน เพื่อหาทางออกให้กับประเทศ ด้าน นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่ม นปช.กล่าวว่า ต้องการให้รัฐบาลโดยพรรคประชาธิปัตย์นั้น ได้พิจารณาประกาศยุบสภา เพื่อที่จะได้เริ่มต้นในกระบวนการเลือกตั้งใหม่ และพิสูจน์ว่าใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ได้มาด้วยความชอบธรรมภายใต้ระบอบประชาธิปไตย และสะท้อนให้เห็นว่า การชุมนุมของ นปช.ครั้งนี้เป็นการย้อนรอยเหตุการณ์ของพันธมิตรฯ และจะได้รับรู้ถึงความรู้สึกของนายกรัฐมนตรี ที่เคยทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎร และมีการชุมนุมกดดันรัฐบาลอยู่บริเวณด้านหน้า

2551 ปีแห่งการล่มสลายของตระกูล"ชินวัตร"




ปี 2551 กำลังจะผ่านไป ปีแห่งความสับสน วุ่นวาย ปีแห่งความขัดแย้ง แบ่งภาค แบ่งสี แบ่งฝัก แบ่งฝ่าย เพราะเงื่อนไขจากชายเพียงคนเดียว “ ทักษิณ ชินวัตร ” อดีตผู้นำผลัดถิ่นที่ยังคงโผบินเหมือนนกไร้รัง หลังถูกรัฐบาลอังกฤษถอนวีซ่าหมดวาสนาจะลี้ภัยในเมืองผู้ดี แต่จนถึงวันนี้ยังไม่มีใครตอบได้ว่า “ ทักษิณ” อยู่ที่ไหน แว่วเพียงเสียงแผ่วๆผ่านสาย “โฟนอิน” กลับมาให้แฟนๆชาว นปก.เสื้อแดงได้ยินเดือนละครั้งสองครั้ง และในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้องรับปีใหม่เช่นนี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่จะรวบรวมคดีความในช่วงปีที่ผ่านมาของ “ ทักษิณ ” สืบเนื่องจากการใช้ตำแหน่งหน้าที่โกงกินประเทศชาติ กลับมาเตือนความจำให้หายคิดถึงกันอีกครั้ง ในปีที่ผ่านมามีคดีความของ ทักษิณ และวงศ์วานว่านเครือ ถูกพิพากษาโทษไปแล้ว ถึง 3 คดี เริ่มจากกลางปี 25 มิ.ย. ศาลฎีกา มีคำพิพากษา จำคุกคนละ 6 เดือนฐานละเมิดอำนาจศาล “ พิชิฏ ชื่นบาน - ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ - ธนา ตันศิริ ” สามทนายในคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ ที่หาญกล้านำถุงขนมสอดไส้เงินสด 2 ล้านบาท ไปมอบให้เจ้าหน้าที่ธุรการ ถึงบนอาคารศาลฎีกาฯ ต่อมา 31 ก.ค. ศาลอาญา พิพากษาจำคุก คนละ 3 ปี คุณหญิงพจมาน ชินวัตร และบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรมในดคีหลีกเลี่ยงการเสียภาษีจากการซื้อขายหุ้น บริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ( มหาชน ) แถมยังสั่งจำคุกนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน อีก 2 ปี ผลของคำพิพากษาใน 2 คดีข้างต้น ทำเอา “ อดีตนายกฯขวัญใจคนจน ” อย่างทักษิณ รู้ทันทีว่าตัวเองใกล้ชะตาขาด แม้จะมีอำนาจควบคุม ครม. และส.ส.เกือบทั้งสภา แต่สุดท้ายเงินที่โกงชาติมากลับซื้อ “ ศาลสถิตยุติธรรม ” ไม่ได้ สุดท้ายจึงต้องกระเตงลูกเมียหลบหนีภัยออกนอกประเทศ โดยอ้างเหตุว่าจะไปร่วมพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกที่เมืองจีนแผ่นดินใหญ่ แต่สุดท้ายไม่ยอมกลับแผ่นดินเกิด แถมยังออกแถลงการณ์ย่ำยีกระบวนการยุติธรรมไทยว่ามุ่งร้ายทำลายตนเองจนต้องไร้แผ่นดินอยู่ 21 ต.ค. เป็นวันสำคัญที่สุดของปีที่ผ่านมา เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษา “ จำคุก 2 ปี ” อดีตนายกรัฐมนตรีหน้าเหลี่ยม “ ทักษิณ ชินวัตร ” ในความผิดตาม พ.ร.บ. ป.ป.ช. กรณีปล่อยให้คุณหญิงพจมาน ภริยาเข้าเป็นคู่สัญญาประมูลซื้อที่ดิน 33 ไร่ ย่าน ถ.รัชดาฯ จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ได้ในราคา 772 ล้านบาท ซึ่งเป็นการซื้อขายที่ดินที่ต่ำกว่าราคาประเมิน และทำให้ชื่อของ “ ทักษิณ ชินวัตร ” ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทยว่าเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่ถูกพิพากษาจำคุกจากการกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ เมื่อ ทักษิณ ต้องหนีคุกกลับเมืองไทยไม่ได้ ส่งผลให้คดีทุจริตอีกมากมาย ต้องหยุดชะงัก หมดทางที่จะพิสูจน์ความผิดอดีตผู้นำจอมโกง โดยเฉพาะคดีที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งต้องจำหน่ายไว้เป็นการชั่วคราว ประกอบด้วย คดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว “หวยบนดิน” ซึ่ง คตส. ได้ยื่นฟ้อง ทักษิณ คณะรัฐมนตรี และผู้บริหารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล รวม 47 คนเป็นจำเลย ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ คดีเอ็กซิมแบงก์ปล่อยเงินกู้ 4,000 ล้านบาทให้กับรัฐบาลพม่า เพื่อดำเนินโครงการจัดซื้ออุปกรณ์กิจการโทรคมนาคมจาก บริษัทในเครือ ชินคอร์ปฯ ของครอบครัวชินวัตร ซึ่ง ทักษิณ เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการดูแลกิจการเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 และมาตรา 157 คดีทุจริตแปลงค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือ - ดาวเทียม เป็นภาษีสรรพสามิต เอื้อประโยชน์ธุรกิจบริษัทชินคอร์ปฯ ทำให้รัฐเสียหายกว่า 6.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง ทักษิณ เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทาน หรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว , เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใดเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ร.บ.ป.ป.ช. พ.ศ.2542 คงเหลือเพียงคดีแพ่งในส่วนของการยึดทรัพย์ ที่สามารถดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้ โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำสั่งรับคำฟ้องของอัยการสูงสุดที่ขอให้ยึดทรัพย์มูลค่ากว่า 7.6 หมื่นล้าน ของทักษิณ อันได้มาจากการร่ำรวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดิน จากกรณีจงใจฝ่าฝืน พ.ร.บ.ป.ป.ช.ทำให้ธุรกิจครอบครัวมีการเพิ่มมูลค่านับแสนล้านบาท รวมทั้งมีการออกมาตรการแก้ไขสัญญาบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง ซึ่งต้องรอติดตามกันหลังปีใหม่ว่าจะสามารถยึดเอาขุมทรัพย์มูลค่ามหาศาลอันได้มาจากการ “ทุจริตเชิงนโยบาย” คืนมาได้หรือไม่ ส่วนคดีที่อยู่ระหว่างตั้งคณะทำงานร่วมกันระหว่าง อัยการ กับ ปปช. มี 2 คดี คือ “ คดีทุจริต CTX 9000” ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการจัดซื้อจัดจ้างปรับเปลี่ยนสายพานลำเลียงกระเป๋าผู้โดยสารและเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิด CTX 9000 ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยคดีนี้ คตส.ชี้มูลความผิด ทักษิณ กับพวก ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ “ คดีธนาคารกรุงไทย อนุมัติเงินกู้ให้กับบริษัทในเครือกฤษดามหานคร ” ซึ่งเป็นการปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัทที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) คตส. ชี้มูลความผิด ทักษิณ กับพวก รวมทั้งชี้มูลความผิด “ พานทองแท้ ชินวัตร ” บุตรชายกับพวกในข้อหารับของโจร โดยแยกออกมาเป็นอีกสำนวนคดีหนึ่งเนื่องจากเป็นบุคคลธรรมดา ปี 2552 กำลังจะผ่านเข้ามา เชื่อได้ว่าหากยังไม่ถูกลากคอมาเข้าคุก “ ทักษิณ ” จะยังคงเปิดเกมรุกอย่างต่อเนื่อง ด้วยการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาให้กลุ่มก๊วนการเมือง และลิ้วล้อ นปก.เสื้อแดง ก่อความวุ่นวายแบบไม่หยุดหย่อน ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ “ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ในฐานะผู้ถืออำนาจตามหมายจับตามคำสั่งศาล ต้องควานหาที่อยู่ของ ทักษิณ ก่อนประสานความร่วมมือกับ “ กระทรวงการต่างประเทศ ” และ “ อัยการของแผ่นดิน” เพื่อยื่นคำร้องขอตัวกลับมารับโทษให้ได้ ไม่ว่า “ ทักษิณ” จะอยู่ที่ไหน ที่แห่งนั้นจะมีสนธิสัญญาผู้ร้ายข้ามแดน หรือหลักต่างตอบแทนระหว่างประเทศ หรือไม่ เพื่อความสงบสุขของแผ่นดินไทยในปี 2552

เสื้อแดง" ล้อมสภา ลั่นพร้อมเปิดทางให้ ส.ส.เข้า แต่ต้องเดินเท้าเข้าไปเท่านั้น













เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล ตำรวจตระเวนชายแดน และกองปราบปราม จำนวน 8 กองร้อย เข้าตรึงกำลังดูแลความสงบเรียบร้อยบริเวณโดยรอบอาคารรัฐสภา หลังกลุ่ม นปช. ชุมนุมปิดทางเข้า-ออก อาคารรัฐสภา เมื่อคืนที่ผ่านมา วันนี้ (29 ธ.ค.) บรรยากาศภายในรัฐสภายังคงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย หลังจากผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงเดินทางมาปิดล้อม โดยได้มีการระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล ตำรวจตระเวนชายแดน และกองปราบปราม จำนวน 8 กองร้อย ตรึงกำลังดูแลความสงบเรียบร้อยโดยรอบบริเวณขณะที่การเข้า-ออกภายในรัฐสภา สามารถเข้า-ออกได้ทางเดียว คือประตูด้าน ถ.พิชัย ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะอนุญาตให้เข้า-ออกได้เฉพาะผู้ที่มีบัตรประจำตัวของรัฐสภาเท่านั้น โดยกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนได้นั่งขวางประตู ทำให้การเดินทางเข้าภายในบริเวณรัฐสภาทำได้เพียงการเดินเท้าเท่านั้น ทั้งนี้ในช่วงเช้าที่ผ่านมา ผู้ชุมนุมได้ร่วมกันทำบุญตักบาตร ก่อนที่แกนนำจะเริ่มปราศรัยโจมตีรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พร้อมระบุว่า การมาชุมนุมในวันนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์ขัดขวางการทำงานของ ส.ส. เพียงแต่หากต้องการเข้าไปทำหน้าที่ก็จะต้องเดินเท้าเข้าไปเท่านั้น และเมื่อ ส.ส.เดินผ่านผู้ชุมนุมก็จะยกมือไหว้ ส.ส. เพื่อขอให้รัฐบาลทำการยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน และแม้ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ขอเจรจา กับแกนนำ นปช. ขอให้เปิดทางเข้า-ออก รัฐสภาแล้ว แต่ทางแกนนำไม่ยินยอม ล่าสุดมีรายงานว่า นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ได้แถลงข่าว ระบุว่า เบื้องต้นจะมีการเลื่อนประชุมสภาไปเป็นเวลา 14.00 น. วันนี้ แต่จะมีการเลื่อนต่อไปอีกหรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องมีการประเมินสถานการณ์ต่อไป



วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2551

จตุพรสวดคนรักอุดรไร้ค่า ซัด ขวัญชัย เสื้อแดงอุดร พวกใจทรยศ



นายจตุพร พรหมพันธุ์ สส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แถลงว่า วันนี้ได้มีขบวนการเสื้อแดงปลอม หรือพวกแดงทรยศ ที่ระบุว่า จะไม่มาร่วมชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงวันที่ 28 ธ.ค. ที่ท้องสนามหลวง ทั้งที่เราไม่เคยชวนให้มาชุมนุมเหมือนกัน ฉะนั้นพวกใจทรยศจะไร้ค่า อย่างไรก็ตาม หากมีการใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชนก็เท่ากับรัฐบาลอภิสิทธิ์สิ้นสุดลงทันที นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จ การแห่งชาติ กล่าวว่า ในวันที่ 28 ธ.ค. จะมีการเปิดเผยข้อมูลลึกถึงตัวละครแต่ละตัว จึงขอเชิญชาวเสื้อแดงหากต้องการรู้ความจริงว่าเงิน 200-300 ล้านบาท ไหลเข้าพรรคประชาธิปัตย์ได้อย่างไร มีการแจ้งให้คณะกรรม การการเลือกตั้งทราบหรือไม่ ที่น่าสนใจกว่านั้น ในพรรคประชาธิปัตย์น่าจะมีการจิ๊กเงินกันเองด้วย หากมีการเปิดเผยข้อมูลเชื่อว่า รมว.สาธารณสุข ฟังแล้วคงเป็นลม นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ ได้รายงานตัวเลข ผู้ชุมนุมว่า มีจำนวนไม่มาก และขอยืนยันว่า ไม่ได้สั่งการให้จับตาจังหวัดใดเป็นพิเศษ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางไปพบกับนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำชมรมคนรักอุดรเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. น่าจะมีนัยทางการเมือง โดยสายข่าวรายงานให้ทราบว่า จะมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น ในช่วงระหว่างการแถลงนโยบายรัฐบาล แต่ไม่ได้มีความกังวลแต่อย่างใด จึงไม่ต้องเตรียมรับมือเป็นพิเศษ มีแต่หัวใจที่ใช้ต่อสู้ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า จากการประเมินด้านการข่าวเชื่อว่า ไม่น่าจะมีผู้ชุมนุมมาร่วมมาก เนื่องจากกลุ่มคนรักอุดรได้ประกาศว่า จะไม่มาเข้าร่วม คิดว่าไม่น่าจะมีการปิดเส้นทางการจราจร นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวกับเอเอฟพีว่า รัฐบาลจะสามารถแถลงนโยบายตามกำหนดการได้ และมั่นใจว่าจะรับมือสถานการณ์ทั้ง 2 วันได้ด้วยวิธีที่จะไม่ทำลายภาพลักษณ์ของประเทศ เพราะเจ้าหน้าที่มีบทเรียนจากเหตุการณ์ 7 ตุลา มาแล้ว นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประ สานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงน่าจะมีคนเข้าร่วมน้อยกว่าทุกครั้ง เพราะขณะนี้ขบวนการมวลชนเสื้อแดงเริ่มมีปัญหาทั้งการนำและมวลชนพื้น ฐาน แกนนำเริ่มไม่เป็นเอกภาพ

ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก โพสต์ทูเดย์

วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ก้นบึ้งความคิด “ไข่แม้วดำ”พร้อมแยกประเทศ-ทำสงครามกลางเมืองเพื่อนาย




วีระ มุสิกพงศ์ ทำสงครามเพื่อความสงบ? พลันที่การเมืองพลิกขั้ว การต่อสู้ของม็อบเสื้อแดง หรือกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ก็ดูแผ่วลงไป ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่านายใหญ่เริ่มหมดฤทธิ์ เงินอัดฉีดเริ่มร่อยหรอ ทิศทางการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงจะเป็นอย่างคำร่ำลือหรือไม่ "วีระ มุสิกพงศ์" แกนนำรุ่นบุกเบิก เปิดใจถึงคอนเซ็ปต์การต่อสู้ในฉากต่อไปไว้ดังนี้ -ตอนนี้แม้ไม่มีรัฐประหารแต่เสื้อแดงยังชุมนุมต่อไป เราต่อต้านรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์เต็มที่ เพราะขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ ตัวนายกฯ สนับสนุนการรัฐประหาร นอกจากไม่ห้ามลูกพรรคเคลื่อนไหวต่อต้านระบอบประชาธิปไตย ยังเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการเคลื่อนไหวเพื่อทำลายรัฐบาลเก่า อีกเรื่องที่รับไม่ได้คือการตั้ง คุณกษิต ภิรมย์ แกนนำอีกคนของม็อบพันธมิตรที่ก่อการกบฏและก่อการร้าย เป็นรมว.ต่างประเทศ เพราะเท่ากับยืนยันว่าไปปล้นรัฐบาลเก่าเพื่อมาเป็นรัฐบาลเสียเอง นี่คือคำรับสารภาพ ประชาธิปัตย์ยอมรับอำนาจทหารมาจัดตั้งรัฐบาล เราจึงเรียกร้องให้เขายุบสภา ให้ประชาชนตัดสินใจใหม่ -ถ้ายุบสภาจะเลิกเลยหรือไม่ เลิกแน่นอน ถือว่าคืนอำนาจให้ประชาชน การยุบสภามีความหมายอีกอย่างคือแก้รัฐธรรมนูญ แต่เมื่อไม่มีใครทำก็คาราคาซังมาจนถึงรัฐบาลนี้ ถ้ารัฐบาลนี้ยุบสภา เราจะเสนอปัญหานี้ให้ประชาชนตัดสิน ประชาชนก็ต้องเลือกพรรคที่หาเสียงว่าจะแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ ก็เปลี่ยนทั้งรัฐบาลและรัฐธรรมนูญพร้อมกัน -ถ้าแก้รัฐธรรมนูญพันธมิตรกลับมาอีกแน่ ถ้าใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา แกนนำพันธมิตรไม่มีโอกาสเคลื่อนไหวได้อีกเพราะเขาเป็นผู้ต้องหา อาจสูญเสียอิสรภาพระหว่างต่อสู้คดี เมื่อแกนนำออกมาทำอะไรไม่ได้ คนเสื้อเหลืองก็ไม่มีความหมาย -คาดหวังว่ารัฐบาลนี้จะบังคับใช้กฎหมายกับพันธมิตร ไม่คาดหวัง รัฐบาลนี้เป็นผลิตผลของพันธมิตร เขาไม่แตะต้องแกนนำ ผมจึงเสนอให้มีเลือกตั้งใหม่ ประชาชนจะลงโทษใครก็ลงโทษไป ถ้าเขาเห็นว่าพวกเสื้อแดงผิดก็ลงโทษพวกเสื้อแดง ถ้าเห็นว่าเสื้อเหลืองผิดก็ลงโทษพวกเสื้อเหลือง -ถ้านายกฯไม่ยุบสภาจะเป็นอย่างไร บริหารประเทศไม่ได้ ถูกคนเสื้อแดงขัดขวางการบริหารประเทศ ไปเหนือไปอีสานก็โดนตีนตบ ไปไหนไม่ได้ -จะกลายเป็นการแบ่งแยกประเทศหรือไม่ แน่นอน แบ่งแยกก็ต้องแบ่ง จะไปเอาคนผิดกฎหมายกับคนถูกกฎหมายมาสามัคคีกันไม่ได้ อย่างน้อยต้องเอาคนผิดกฎหมายไปใส่คุกไว้ก่อน คนที่เหลืออาจมาสามัคคีกันได้ คนเสื้อเหลืองส่วนใหญ่ไม่เป็นปัญหา แต่แกนนำคนเสื้อเหลืองมีปัญหา -แกนนำพันธมิตรก็พูดอย่างเดียวกันว่าจะเอา พ.ต.ท.ทักษิณเข้าคุก จะเอาคุณทักษิณเข้าคุกก็เอาสิ ใครไปห้าม คนเสื้อแดงไม่ได้ห้ามเอาคุณทักษิณเข้าคุกนะ อย่าปุโลปุเล -พ.ต.ท.ทักษิณบอกอยากกลับมาแต่ไม่ยอมติดคุก ไม่เกี่ยว คุณทักษิณเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย คมช.โง่เองที่สร้างภาพคุณทักษิณเช่นนี้ จะมีคนต่อสู้มากมายเพราะแก ส่วนจะกลับเข้ามาแล้วติดคุกติดตะรางก็เป็นเรื่องที่แกต้องเผชิญ เสื้อแดงขัดข้องตรงที่ไม่ใช้กระบวนการยุติธรรมที่เป็นสากล -คำพิพากษาในคดีของพ.ต.ท.ทักษิณที่ศาลฎีกาฯมีแล้ว ต้องประเมินกันว่าเป็นคำพิพากษาที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ มันเริ่มตั้งแต่รัฐธรรมนูญ"50 ชอบด้วยกฎหมายจริงหรือไม่ ถ้ามาจากคนกลุ่มเดียว ศักดิ์ของมันจะเป็นรัฐธรรมนูญไม่ได้ ต้องสู้ไปถึงแก่นของปัญหา -มองการชุมนุมของพันธมิตรอย่างไร เห็นด้วยกับการชุมนุมแต่ต้องไม่ละเมิดกฎหมาย ที่ผ่านมาผมไม่เคยว่าเขาเลย แต่เมื่อยึดทำเนียบ ยึดเอ็นบีที ปิดล้อมสภาไม่ให้ส.ส.ปฏิบัติหน้าที่ สุดท้ายไปปิดสนามบิน ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายอย่างฉกรรจ์ รับไม่ได้ -แม้ผลจะทำให้คนเสื่อมศรัทธากับเขามาก แต่เขาก็ยังเปลี่ยนอำนาจรัฐได้ ผมประกาศหลายครั้งแล้วว่ากลุ่มเสื้อแดงที่มีความจริงวันนี้เป็นแกน ปฏิเสธการกระทำที่ผิดกฎหมาย จะไม่ทำอย่างเดียวกับที่พันธมิตรทำ -ดูเหมือนเสื้อแดงก็คุมกันเองไม่ได้ ช่วยไม่ได้ แต่ใครทำผิดต้องรับผิด ใครละเมิดกฎหมายต้องลงโทษ -แนวทางคนเสื้อแดงต่อไปจะเป็นอย่างไร เน้นชุมนุม ตั้งเวทีปราศรัยเอาจำนวนคน ถ้าคนน้อยก็แสดงว่าพลังไม่เข้มแข็ง เผด็จการก็ปกครองประเทศไป เราจึงต้องตั้งสถาบันมารองรับเพื่อต่อสู้ระยะยาว -ถ้าต่อไปคนน้อยลงเรื่อยๆ จนไม่มีพลัง ไม่มีปัญหา ก็เลิกไป แต่สถาบันคนเสื้อแดงยังอยู่แม้จะเล็กและไม่มีพลัง แต่ก็จะทำงานด้านปัญญา ผลิตเอกสาร รวมคนกลุ่มเล็กๆ แต่ไม่เคลื่อนไหวทางการเมือง -การเปลี่ยนไปของนายเนวิน ชิดชอบ มีผลต่อกลุ่มคนเสื้อแดงหรือไม่ ไม่เห็นว่าจะมีผลอะไรเลย การต่อสู้ 2 ปีที่ผ่านมา มีคนเยอะแยะที่เข้ามา มีคนเยอะแยะที่หายไป แต่ไม่เห็นว่าจำนวนคนเสื้อแดงจะลดน้อยลง กลับยิ่งมากขึ้น -เอาทุนจากที่ไหนมาเคลื่อนไหว นี่ก็เพิ่งจัดงานระดมทุน มีเงินบริจาคจากประชาชนตั้งแต่ 20 ถึง 200,000 บาท เราขายสินค้า ขายเสื้อแดง แต่อนาคตยังไม่พอ จะมีธุรกิจใหม่คือเครื่องดื่มชูกำลัง แล้วใช้ชื่อความจริงวันนี้ ก็จัดแบ่งผลประโยชน์ทางธุรกิจเอาเงินมาเลี้ยงคนเสื้อแดงให้ทำงานต่อไป -พ.ต.ท.ทักษิณสนับสนุนทุนการเคลื่อนไหวหรือไม่ คุณทักษิณโดยตรงไม่มี แต่เพื่อนคุณทักษิณมี เริ่มตั้งแต่ปี"50 ที่เราเริ่มทำทีวีกัน เพื่อนผมและก็เป็นเพื่อนคุณทักษิณ แต่ตัวคุณทักษิณไม่มีเงินส่งมาให้ จะอัดเข้ามายังไงในเมื่อเงินเขาถูกอายัดหมดแล้ว แล้วแกอยู่เมืองนอกส่งเข้ามาไปตรวจดูทางการเงินก็รู้กันหมด มันทำไม่ได้ -หลังๆ นี้พ.ต.ท.ทักษิณโฟนอินเข้ามาบ่อยจนเกร่อหรือเปล่า เราไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น ไม่ได้วางแผนว่าจะต้องโปรโมต ทำไปตามความรู้สึก ถ้าคนเสื้อแดงเรียกร้องกันมาก็ติดต่อไปว่าสะดวกหรือไม่ ถ้าสะดวกก็โทรศัพท์เข้ามาเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น -จะเอาคนเสื้อแดงเป็นฐานทางการเมืองในอนาคตหรือไม่ ในการเลือกตั้งมันเป็นไม่ได้ แต่ความเป็นเสื้อแดงด้วยกัน มันมีมิตรภาพเกิดขึ้น อาจเป็นปัจจัยเสริม เราจะใช้เขาเป็นพลังรักษาประชาธิปไตย ถ้าชวนกันมาต่อต้านเผด็จการก็มากัน จะสังกัดพรรคไหนไม่เกี่ยว เห็นตรงกันก็มา -วันแถลงนโยบาย 29 ธ.ค.จะไปชุมนุมหน้าสภา หน้าสภาผมไม่ไป แต่คนอื่นจะไป เราก็เตือนว่าอย่าไปก่อความรุนแรง -ถ้าแกนนำไม่ไปใครจะคุมคน มันหลายกลุ่ม ไม่มีกลุ่มผมก็มีกลุ่มอื่น เขามีแกนนำอยู่ทั้งนั้น -แต่อาจเกิดความรุนแรง แรงก็แรง ต้องยอมรับความจริงกันแล้ว อะไรจะเป็นก็ให้มันเป็นไป -เหมือนว่าปลุกมวลชนขึ้นมาแล้วไม่รับผิดชอบหรือไม่ มันไม่ใช่ใครปลุกใคร ทำไมไม่มองว่าคนเสื้อแดงมาปลุกพวกผมบ้างล่ะ พวกนี้แรงกว่าพวกผมด้วยซ้ำ พวกผมมีหน้าที่ต้องดึงว่าอย่ารุนแรงไป ให้อยู่ในกรอบกฎหมาย -พันธมิตรประกาศต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญกลัวว่าจะมีการลุกฮืออีกหรือไม่ จะฮือก็ฮือมา เราก็ต้องฮือกลับไปอยู่แล้วเพราะมันเป็นจุดยืน -ไม่กลัวจะกลายเป็นสงครามกลางเมืองหรือ อเมริกาทำสงครามกลางเมืองก็สงบมาได้ 200 ปี คนไทยถ้าไม่ทำ สงครามกลางเมืองกันซะบ้างมันจะสงบได้ยังไง อย่าง 3 จังหวัดภาคใต้ใครไประงับได้ ถ้ามันจะเกิดก็ต้องเกิด -แล้วความเสียหายของประเทศ อะไรจะเป็นไปก็ต้องเป็นไป -แต่มันหยุดได้ถ้าเราตัดข้อแม้ออกไป จับโจรมาสามัคคีกับเจ้าทรัพย์แล้วบอกว่าสงบแล้ว นี่คือสิ่งที่สังคมเห็นว่าถูกต้องแล้วควรจะมีเหรอ สังคมอยู่กันได้ต้องรู้ผิดรู้ถูก จะอยู่กันได้ต้องมีกฎหมาย ผู้ร้ายต้องถูกดำเนินคดี ไม่ใช่ตำรวจไปเกลี้ยกล่อมให้เจ้าทรัพย์อโหสิให้โจร นั่นบ้าแล้ว -กลัวกองทัพจะออกมาจัดการเสื้อแดงหรือไม่ ประชาชนต้องลุกขึ้นมาสอนกองทัพว่าต้องเป็นของชาติของประชาชน ถ้าไม่จัดการกับกองทัพให้เรียบร้อย เลิกพูดเรื่องประชาธิปไตย -เมื่อไหร่ความขัดแย้งทางการเมืองจะจบ โลกยังไม่แตกมันก็ยังไม่จบ การเมืองเป็นเรื่องที่ยังไม่จบ จะมีปัญหาเรื่อยไป ช่วงไหนจะดีหรือเลวร้ายก็แล้วแต่กรรมเวรของผู้คนในช่วงนั้นๆ
สารเลว ชาติชั่ว ที่สุด คือ วีระ มุสิกพงศ์

วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2551

นปช ปิดถนนแยกสุโขทัย-ราชวัตร รอคำสั่งศาลให้ประกันตัวผู้ต้องหาปาหินหน้ารัฐสภา

แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นัดรวมพลใส่เสื้อแดง ปิดถนนตั้งแต่แยกสุโขทัย จนถึงแยกราชวัตร ทั้งขาเข้าและขาออก เพื่อรอฟังคำตอบจากศาล ว่า จะอนุญาตให้มีการประกันตัว นายโชคชัย คำลือ ผู้ต้องหาคดีปาหินใส่รถ ส.ส.ในวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ที่บริเวณหน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ที่ผ่านมา หรือไม่ ซึ่งขณะนี้ ทางกลุ่ม นปช.ยังคงปักหลักปราศรัยโจมตีการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่คัดค้านการประกันตัว นายโชคชัย และยืนยันว่า จะปิดถนนหน้าบริเวณ สน.ดุสิต ต่อไปจนกว่าศาลจะมีคำสั่งให้ประกันตัว


กลุ่มเสื้อแดง-แท็กซี่ ฮือล้อมโรงพักดุสิต กดดันให้ปล่อยตัวถ่อยทุบรถ ส.ส.



เสื้อแดงแผลงฤทธิ์ พาสมุนพรรคพวกปิดล้อมโรงพักดุสิต กดดันให้ตำรวจปล่อยตัวผู้ต้องหาที่ปาอิฐตัวหนอนใส่รถ ส.ส.ที่หน้ารัฐสภา แม้ตำรวจจะให้ตัวแทนขึ้นไปดูในห้องขัง โดยระบุว่านำตัวไปฝากขังแล้วแต่ยังไม่ยอม วันนี้ (19 ธ.ค.) เมื่อเวลา 11.30 น. นายสุขุม วงประสิทธิ์ ตัวแทนกลุ่มรักประชาธิปไตยสนามหลวง นำกลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 300 คน พร้อมรถแท็กซี่ 50 คัน และจักรยานยนต์รับจ้าง 50 คัน เดินทางมาชุมนุมปิดล้อม สน.ดุสิต เพื่อขอเข้าเยี่ยมนายโชคชัย คำลือ อายุ 25 ปี หนึ่งในกลุ่มผู้ชุมนุม นปช.(เสื้อแดง) ที่ทุ่มอิฐตัวหนอนใส่กระจกรถเบนซ์สีดำของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จนเกิดความเสียหาย และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมมาแถลงข่าวที่ บช.น.เมื่อวานนี้ (18 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อมาถึงกลุ่มผู้ชุมนุมได้กระจายกันใช้รถแท็กซี่ปิดถนนพระรามที่ 5 ตั้งแต่แยกสุโขทัยไปจนถึงแยกราชวัตร รวมทั้งปิดถนนสุคันธารามซึ่งอยู่ตรงข้าม สน.ดุสิต จนทำให้สภาพการจราจรของถนนพระรามที่ 5 ถนนสุโขทัย และสวรรคโลก ติดขัดเป็นอย่างหนัก จากนั้นได้เข้าปิดล้อมโรงพักเพื่อขอเข้าเยี่ยมนายโชคชัย แต่ก็ไม่พบตัวนายโชคชัยถูกขังอยู่ที่โรงพักแต่อย่างใด ทำให้กลุ่มผุ้ชุมนุมเกิดอาการไม่พอใจอย่างหนัก พ.ต.อ.จักรภาพ สุคนธราช ผกก.สน.ดุสิต ต้องออกมาชี้แจงต่อกลุ่มผู้ชุมนุมด้วยตัวเองว่า นายโชคชัยถูกพนักงานสอบสวนนำตัวไปฝากขังที่ศาลแขวงดุสิตแล้วตั้งแต่เช้า แต่กลุ่มผู้ชุมนุมไม่เชื่อ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเข้ามาเจรจา จนได้ข้อสรุปว่าให้จัดตัวแทนมา 10 คน เพื่อเข้าตรวจค้นในห้องขังทั้งหมดของโรงพักก็ไม่พบตัวนายโชคชัยแต่อย่างใด ทั้งนี้ กลุ่มผู้ชุมนุมก็ยังไม่พอใจ พากันเรียกร้องขอเอกสารคำร้องขอฝากขังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องติดต่อไปยังพนักงานสอบสวนให้แฟกซ์เอกสารคำร้องของฝากขังกลับมายังโรงพัก แล้วนำมาให้กลุ่มผู้ชุมนุมดูจนพอใจ พร้อมทั้งแนะนำเรื่องการประกันตัวนายโชคชัยให้แกนนำทราบว่าข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ข้อหาร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น ใช้เงินประกันตัวขั้นต่ำตั้งแต่ 6,000 ไปจนถึง 120,000 บาท ทางกลุ่มผู้ชุมนุมจึงพากันเรี่ยรายเงินกันที่หน้าโรงพัก พร้อมทั้งประกาศว่าจะไม่เดินทางกลับจนกว่านายโชคชัยจะได้รับการประกันตัว และต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวมาปล่อยที่ สน.ดุสิตอีกด้วย ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า นอกจากนี้ กลุ่มผู้ชุมนุมยังพากันนำภาพเหตุการณ์ที่กลุ่มคนเสื้อแดงถูกรุมทำร้ายที่หน้าสถานที่วิทยุคนแท็กซี่ ที่ซอยวิภาวดีซอย 3 เข้าไปในห้องสอบสวนเพื่อกดดันและด่าทอเจ้าหน้าที่ตำรวจกรณีที่ไม่ยอมจับกุมกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ก่อเหตุรุมทำร้ายกลุ่มคนเสื้อแดงที่บริเวณดังกล่าวด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ผลสอบ 7 ตุลาเลือดถึงมือ “ป.ป.ช.” ฟัน “ชาย-ตร.ชั่ว” ฆ่า-พยายามฆ่า




คณะกรรมการสิทธิฯ ส่งสรุปผลสอบข้อเท็จจริงกรณีสลายชุมนุมวัน 7 ตุลาเลือด พร้อมแนบหนังสือ “นายกฯมาร์ค” ส่งถึง “เสน่ห์” ให้ดำเนินการลงโทษต่อผู้กระทำความผิด เปิดชื่อตำรวจในคราบผู้ร้าย ตั้งแต่ผู้บังคับหมู่ ยัน ผบ.ตร.“จงรัก-สุชาติ-นวย” หนักสุด ส่วน “ชายอำมหิต-จิ๋วหวานเจี๊ยบ” แจ้งข้อหาฆ่า และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน วันนี้ (18 ธ.ค.) นายสุรสีห์ โกศลนาวิน ประธานคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชน เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนได้ส่งสรุปผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช) พิจารณาแล้ว โดยมีจำนวน 117 หน้า มีผู้มาให้ถ้อยคำ 91 คน จาก 7 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ให้ถ้อยคำฝ่ายการเมือง สื่อมวลชน กลุ่มผู้ร่วมชุมนุมและประชาชนที่ได้รับบาเจ็บ กลุ่มแกนนำและการ์ดพันธมิตรฯ กลุ่มเจ้าหน้าที่การแพทย์ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชและนิติวิทยาศาสตร์ และกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งในเช้าวันพรุ่งนี้ 19 ธ.ค.จะเดินทางไปให้ปากคำเพิ่มเติมต่อ ป.ป.ช.อีกครั้ง สำหรับเนื้อหาผลสรุปที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนส่งให้ ป.ป.ช.ดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่หน้ารัฐสภา วัน 7 ตุลาทมิฬ คณะกรรมการสิทธิฯ ได้สรุปการให้ถ้อยคำของผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สลายการชุมนุม ได้แก่ กลุ่มแกนนำและการ์ดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโดยผู้ที่ให้ถ้อยคำสอดคล้องเชื่อมโยงกัน ว่า ระเบิดแก๊สน้ำตาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยิงมาจากแยกอู่ทองใน มีลักษณะการระเบิด 2 แบบ คือ แบบแรกเป็นควันอย่างเดียว ระเบิดประเภทนี้ส่วนมากจะเป็นแบบแตกบนอากาศ และแบบที่ 2 คือ เป็นแบบระเบิดเปลวไฟ ระเบิดชนิดนี้เป็นแบบแตกบนพื้นดิน แล้วจึงมีเปลวไฟขึ้นมา ซึ่งมีจำนวนประมาณร้อยละ 70 ของระเบิดแก๊สน้ำตาที่ถูกยิงออกมา ตำรวจสั่งกระหน่ำยิงแก๊สน้ำตา ส่วนที่ 2 จะเป็นการให้ถ้อยคำของกลุ่มผู้ร่วมชุมนุมและประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บ โดยได้ให้ถ้อยคำตรงกันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้กระหน่ำยิงแก๊สน้ำตาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับตำรวจได้ถือเครื่องขยายเสียงพูดขึ้นว่า “มันอยู่ได้ ให้มันอยู่ไป ยิงเข้าไปๆ เดินเข้าไป ลุยเข้าไป” โดยพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก พร้อมกับมีเสียงระเบิดดังอยู่ตลอดเวลา ซึ่งประชาชนให้ถ้อยคำว่าขณะนั้นได้พูดว่า “ยอมแพ้แล้วๆ ไม่มีอาวุธ” แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจคนเดิมที่ถือเครื่องขยายเสียงพูดขึ้นว่า “นายตำรวจ คุณมีหน้าที่เคลียร์ถนน ปล่อยทุกอย่าง วางทุกอย่าง และเคลียร์ถนน” พร้อมย้ำ “นายตำรวจ คุณมีหน้าที่เคลียร์ถนน อยากลองกับผมหรือ” ส่วนที่ 3 จะเป็นการให้ถ้อยคำของสื่อมวลชน ส่วนที่ 4 การให้ถ้อยคำของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ส่วนที่ 5 การให้ถ้อยคำของกลุ่มของผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชและนิติวิทยาศาสตร์ “สมชาย-จิ๋ว” ลอยตัวให้ถ้อยคำ ส่วนที่ 6 การให้ถ้อยคำของกลุ่มนักการเมือง โดยคนแรกที่ได้ให้ถ้อยคำต่อคณะอนุกรรมการสิทธิฯ ได้แก่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ให้ถ้อยคำเกี่ยวกับวันเวลาที่ดำรงตำแหน่ง เล่าถึงว่า ได้รับรายงานมีกลุ่มผู้ชุมนุมไปปิดล้อมสภาในวันแถงนโยบายของรัฐบาล 7 ตุลาคม 2551 ได้เล่าว่าหลังแถลงนโยบายเสร็จสิ้นเจ้าหน้าที่พาออกจากรัฐสภาอย่างไร จากนั้นเป็นการให้ถ้อยคำของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ โดยได้เล่าสถานการณ์ตามที่ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมด จากนั้นเป็นการให้ถ้อยคำจากนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ตามมาด้วยการให้ถ้อยคำจาก นางสาวรสนา โตสิตระกูล สมาชิกวุฒิสภา และนายประสงค์ นุรักษ์ สมาชิกวุฒิสภา ประเภทสรรหา “พัชรวาท” เปิดชื่อฝ่ายการเมือง ส่วนที่ 7 เป็นการให้ถ้อยคำจากกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจ นำโดย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.โดยได้เล่าสถานการณ์ตั้งแต่คืนวันที่ 6 ต.ค.2551 เวลาประมาณ 23.00 น.ว่า ได้ประชุมร่วมกับฝ่ายการเมือง โดยระบุชื่อนักการเมืองที่เข้าร่วมประชุมทุกคน ได้แก่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายวราวุธ ศิลปอาชา บุตรชายของนายบรรหาร ศิลปอาชา และบุคคลอื่นๆ ที่ผู้ให้ถ้อยคำจำไม่ได้ทั้งหมด และไล่เรียงผู้ให้ถ้อยคำไปตามลำดับ อาทิ พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (งานความมั่นคงและกิจการพิเศษ) พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตรวจนครบาล พล.ต.ต.อนันต์ ศรีหิรัญ ผู้บังคับการกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 พล.ต.ต.ภูวดล วุฑฒกนก ผู้บังคับการกองพลาธิการและสรรพาวุธ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ต.ต.ชัยฎิภูมิ อำนวยชัย ผู้บังคับกองร้อยที่ 5 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ ร.ต.ต.เกรียงไกร กิ่งสามี ด.ต.ณัฐนนท์ ศุภมงคลเจริญ ผู้บังคับหมู่ ร้อย 1 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ เป็นต้น เห็นตำรวจยิงประชาชน อย่างไรก็ตาม จากการให้ถ้อยคำของผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมบริเวณหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาลและบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า จำนวนหลายรายให้ถ้อยคำว่า เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่บนอาคาร ต้นไม้ และกำแพงด้านในกองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยยิงเข้าใส่ประชาชนที่เดินผ่านถนนศรีอยุธยาด้านหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาลเพื่อไปยังลานพระบรมรูปทรงม้า และที่เดินผ่านถนนราชดำเนินด้านข้างกองบัญชาการ ตำรวจนครบาลทั้งที่มุ่งหน้าไปยังลานพระบรมรูปทรงม้า และระหว่างการเดินกลับไปยังสะพานมัฆวานฯ รวมทั้งประชาชนที่ยืนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่บนถนนดังกล่าว ส่ง ป.ป.ช.เชือดตำรวจโหด จากการรวบรวมพยานหลักฐานทางด้านนิติเวช ยืนยันว่า ประชาชนได้รับบาดเจ็บ และบาดเจ็บสาหัส มีบาดแผลเกิดจากแรงอัดอากาศ หรือแรงระเบิดที่สามารถทำลายเนื้อเยื่อกระดูก และอวัยวะภายในได้อย่างรุนแรงในรายงานตรวจสอบข้อเท็จจริงวันที่ 7 ต.ค.2551 ที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน นำเสนอต่อ ป.ป.ช.ระบุว่า บุคคลที่จะต้องรับผิดชอบต่อการสลายการชุมนุมจนเป็นเหตุให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้แก่ 1. พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. 2.พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัตร รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลด้านการปฏิบัติการ 3.พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลรับผิดชอบตามแผนกรกฎ/48 4.พล.ต.อ.จงรักษ์ จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาตที่อยู่ด้วยในการประชุมวางแผนทั้งที่ทำเนียบรัฐบาล (ดอนเมือง) และกองบัญชาการตำรวจนครบาล 5.พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล/ผู้บัญชาการ เหตุการณ์ 6.พล.ต.ต.วิบูลย์ บางท่าไม้ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล/รองผู้บัญชาการเหตุการณ์ในวันที่ 6 ตุลาคม 2551 ระหว่างเวลา 08.01-20.00 น.แต่ได้รับคำสั่งให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง 7.พล.ต.ต.ลิขิต กลิ่นอวล รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล/รองผู้บัญชาการเหตุการณ์ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ระหว่างเวลา 20.00-08.00 น.และได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ควบคุม การปฏิบัติตามภารกิจในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 เวลา 06.15 น.8. พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล/ รองผู้บัญชาการเหตุการณ์ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ระหว่างเวลา 08.00-20.00 น.และได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ควบคุมการปฏิบัติภารกิจ โดยเริ่มปฏิบัติการในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ตั้งแต่เวลา 15.00 น.เป็นต้นไป จนกว่าจะเสร็จภารกิจ 9.พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล/รองผู้บัญชาการเหตุการณ์ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ระหว่างเวลา 20.00-08.00 น.ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยผู้ควบคุมการปฏิบัติการตามภารกิจของ พล.ต.ต.เอกรัฐ ด้วย 10.พล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยผู้ควบคุมพื้นที่ 11.พ.ต.อ.ลือชัย สุดยอด ผู้บังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยผู้กำกับดูแลฯ ซึ่งเป็นผู้ขว้างระเบิดแก๊สน้ำตาเข้าใส่ประชาชนเป็นจำนวนมาก ทั้งที่เป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการควบคุมฝูงชน ย่อมทราบวิธีการควบคุมฝูงชนและการใช้ระเบิดแก๊สน้ำตาเป็นอย่างดี “อำนวย” ผิดหนักบิดเบือนข้อมูล 12.พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น.ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนในลักษณะบิดเบือนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เช่น ผู้ชุมนุมที่ขาขาด เป็นระเบิดปิงปองของตัวเองหรือพวกตัวเอง เพราะไม่เห็นกับตาบ้าง หรือเป็นเพราะเดินสะดุดรั้วลวดหนามบ้าง แต่ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ไม่มีอาวุธดังกล่าวแน่นอนเพราะผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กำชับชัดเจนให้ใช้เพียงโล่ และกระบองเสริมเท่านั้น ซึ่งจากภาพที่ปรากฎตามสื่อมวลชนหาใช่ตามที่ พล.ต.ต.อำนวย แถลงแต่ประการใดไม่ เพราะมีทั้งระเบิดแก๊สน้ำตาชนิดยิงและชนิดขว้าง ปืนลูกซอง ปืนพกสั้น และอาวุธปืน MP5 ที่ใช้ในราชการสงคราม การให้ข้อมูลต่อสาธารณชนในลักษณะบิดเบือนข้อเท็จจริงเช่นนี้ ก่อให้เกิดการเข้าใจผิดในหมู่สาธารณชน อาจเข้าข่ายเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กระทำด้วยประการใดๆ เพื่อช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กระทำผิดมิให้ต้องรับโทษทางอาญา และเพื่อเป็นการกลั่นแกล้งบุคคลใดให้ได้รับโทษทางอาญา 13.ผู้ควบคุมกำลังหน่วยที่มีระเบิดแก๊สน้ำตา ได้แก่หน่วยกองบังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ(บก.ตปพ.) กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (บช.ตชด.) และกองบังคับการปราบปราม(บก.ป.) วันที่ 6 ตุลาคม 2551 (20.00-08.00 น.) บก.ตปพ. ได้แก่ พ.ต.ท.มนตรี ศรีทอง และ พ.ต.ท.วิวัฒน์ บุญชัยศรี บช.ตชด.ได้แก่ พ.ต.ท.ฉัตรมงคล พ้นภัย และร.ต.อ.เกษม เวียงนาค บก.ป. ได้แก่ พ.ต.ท.สุริยา อยู่แพทย์ วันที่ 7 ตุลาคม 2551 (08.00-20.00 น.) บก.ตปพ. ได้แก่ พ.ต.อ.สมชาย ภัทรอินโต, พ.ต.ท.ชัยพร บุญชม, พ.ต.ท.สมชาย สวนฐิตะปัญญา และพ.ต.ต.เอกชัย ยืนยาว บช.ตชด. ได้แก่ พ.ต.อ.ณัฐ สิงห์อุดม (อยู่ภายในรัฐสภา) วันที่ 7 ตุลาคม 2551 (20.00-08.00 น.)บก.ตปพ. ได้แก่ พ.ต.ท.มนตรี ศรีทอง และพ.ต.ท. วิวัฒน์ บุญชัยศรี บช.ตชด.ได้แก่ พ.ต.ท.เชน ทรงเดช และ ร.ต.อ.พิษณุวัชร์ ใจการภ.7 (ตำรวจภูธรภาค 7) พ.ต.อ.ศิรเมศร พันธมณี และพ.ต.ต.ชินโชติ โชติศิริ ที่ได้รับมอบหมายภารกิจดูแลแนวรั้วภายใน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ตำรวจผิดฆ่า-พยายามฆ่า ผู้ให้ถ้อยคำทั้งประชาชนและสื่อมวลชนหลายคนยืนยันว่า มีการลอบยิง/ซุ่มยิงออกมาจากรั้วภายในกองบัญชาการตำรวจนครบาลเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าวต้องรับผิดชอบในการละเมิดสิทธิมนุษยชนดังกล่าว รวมทั้งการละเมิดต่อกฎหมายที่อาจเข้าข่ายเป็นความผิด ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติและ/หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 295, 297, 288, 289, 83 “สมชาย” โบ้ย “จิ๋ว” คนสั่งการ ในส่วนของฝ่ายการเมือง ได้แก่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี โดยในสรุปได้ระบุว่า นายสมชาย ให้ถ้อยคำว่า ก่อนเข้าไปแถลงนโยบายที่รัฐสภาวันที่ 7 ต.ค.ได้ตกลงกันไว้แล้วว่าถ้ามีความจำเป็นต้องเลื่อนการประชุมจะได้รับแจ้งจากประธานสภาได้นัดแล้วควรเป็นไปตามกำหนด หากจะเลื่อนควรแจ้งให้ท่านทราบล่วงหน้า ที่ประชุมตกลงว่าให้ไปประชุมที่รัฐสภาก่อน หากเข้าไปไม่ได้ให้ประธานรัฐสภาสั่งการภายหลัง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อาสาจะเข้าไปดูแลเรื่องการชุมนุม โดย พล.อ.ชวลิต ได้แจ้งว่าคุยกับฝ่ายตำรวจเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะกำกับดูแลและบัญชาการเจ้าหน้าที่ตำรวจเอง ขอให้ตำรวจที่รอชี้แจงกับไปทำหน้าที่ดูแลสถานการณ์ นายสมชาย จึงไม่ได้พูดคุยหรือสั่งการเจ้าหน้าที่ฝ่ายตำรวจแต่อย่างใด และไม่ทราบว่า พล.อ.ชวลิต ได้สั่งการอย่างไรไปบ้าง แต่ในเรื่องนี้ พล.อ.ชวลิต รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ถ้อยคำต่อคณะอนุกรรมาธิการฯ วุฒิสภาว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งให้ พล.อ.ชวลิต รับผิดชอบ ซึ่ง พล.อ.ชวลิต ก็มิได้ว่าอะไรในตอนนั้น ก็ให้ไปดูแลอารักขาไม่ให้รัฐสภาถูกเผา แล้วก็ให้มีการประชุมให้มีการผลักดันออกไปให้มีการประชุมให้ได้ในวันรุ่งขึ้น จากนั้น พล.อ.ชวลิต ได้ไปที่ บช.น.มีผู้ติดตามหลายคน เมื่อเดินทางไปถึงก็ประชุม พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ก็อยู่ด้วย “จิ๋ว” สั่งสลายก่อน 05.00 น. อย่างไรก็ตาม คณะอนุกรรมการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เห็นว่า ทั้ง พล.ต.อ.พัชรวาท พล.ต.อ.วิโรจน์ และ พล.ต.ท.สุชาติ ต่างให้ถ้อยคำสอดคล้องต้องกันยืนยันว่า เป็นมติคณะรัฐมนตรี เมื่อคืนวันที่ 6 ตุลาคม 2551 ว่า จะต้องประชุมรัฐสภาให้ได้ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 โดยมอบหมายแล้วเมื่อ พล.อ.ชวลิต ไปเป็นประธานในการประชุมที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.อ.ชวลิต ก็ได้สั่งการและแจ้งที่ประชุมด้วยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติว่า พรุ่งนี้จะต้องไปประชุมเพื่อแถลงนโยบายที่รัฐสภาให้ได้ กับสั่งการให้ดำเนินการใสห้เสร็จสิ้นภายในเวลา 05.00 น.จึงเชื่อว่านายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับผิดชอบ ดำเนินการผลักดันประชาชนผู้ร่วมชุมนุมที่ปิดล้อมรัฐสภาออกไป เพื่อให้มีการประชุมแถลงนโยบายในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.พัชรวาท ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จำต้องปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี โดยมี พล.อ.ชวลิต รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับผิดชอบ สั่งยิงแก๊สน้ำตาตาย-เจ็บ เมื่อมีการปฏิบัติการสลายการชุมนุมโดยใช้ระเบิดแก๊งน้ำตาจากประเทศจีน จนเป็นเหตุให้มีประชาชนได้รับบาดเจ็บ และบาดเจ็บสาหัสเป็นจำนวนมากในช่วงเช้า ทั้งๆ ที่เป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่าการสลายการชุมนุมในช่วงเช้าเป็นเหตุให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บและบาดเจ็บสาหัส นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล แทนที่จะออกคำสั่งห้ามการใช้ระเบิดแก๊สน้ำตาเข้าสลายฝูงชน แต่หาได้กระทำเช่นนั้นไม่ ยังคงปล่อยให้มีการใช้กำลังและยิงระเบิดแก๊สน้ำตาเข้าสลายการชุมนุมอีก เพื่อเปิดทางให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาและคณะรัฐมนตรีเดินทางอกจากรัฐสภาภายหลังเสร็จสิ้นการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว แม้การแถลงนโยบายเสร็จสิ้นแล้ว ก็ยังคงปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจระดมยิงและขว้างระเบิดแก๊สน้ำตาเข้าใส่ประชาชนที่กำลังจะเดินทางเข้าไปช่วยประชาชนที่ถูกล้อมอยู่ที่บริเวณรัฐสภา และที่กำลังเดินทางกลับไปยังสะพานมัฆวานฯ จนเป็นเหตุให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก และเสียชีวิตด้วยที่บริเวณหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล และลานพระบรมรูปทรงม้า “สมชาย” ทำเมิน “รสนา” ประท้วง ที่ นายสมชาย กล่าวอ้างว่า ได้เข้าไปรัฐสภาโดยใช้ประตูด้านข้างเมื่อเวลาประมาณ 09.30 น. ขณะนั้นไม่มีเหตุการณ์รุนแรงแต่อย่างใด ในขณะที่แถลงนโยบาย ผู้ให้ถ้อยคำได้ยิน สมาชิกวุฒิสภาพูดประท้วง แต่เป็นการตะโกนโดยไม่ได้ทำตามระเบียบของรัฐสภา จับความไม่ได้ว่าสมาชิกวุฒิสภาพูดประท้วงแต่เป็นการตะโกนโดยไม่ได้ทำตามระเบียบของรัฐสภา จับความไม่ได้ว่าสมาชิกวุฒิสภา ผู้นั้นประท้วงเรื่องใดบ้าง ผู้ให้ถอยคำแถลงนโยบายเสร็จ เวลา 11.30 น.ระหว่างนั้นนั้นไม่ได้ยินเสียงระเบิดแต่อย่างใด เมื่อแถลงเสร็จแล้วจึงมีผู้มารายงานให้ทราบนั้น เห็นว่าขณะที่นายสมชาย เดินทางเข้าไปในรัฐสภาแม้จะไม่มีเหตุการณ์รุนแรงอย่างใดแล้วก็ตาม แต่หากสังเกตสภาพพื้นถนน ก็ย่อมจะพบร่องรอยของการสลายการชุมนุมที่พื้นถนนเต็มไปด้วยขวดน้ำตกเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด และน่าจะทราบว่าเกิดอะไรขึ้น หรือหากไม่ทราบ ก็สามารถสั่งการให้ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องรายงาน นอกจากนั้นในระหว่างการแถลงนโยบายของรัฐบาล นางสาวรสนา โตสิตระกูล และ นายประสงค์ นุรักษ์ สมาชิกวุฒิสภา ลุกขึ้นประท้วง โดย นายประสงค์ แถลงว่า ไม่เห็นด้วยที่นายกรัฐมนตรีแถลงว่าจะให้ประชาชนมีส่วนร่วม เพราะข้างนอกรัฐสภามีประชาชนจำนวนมากได้รับบาดเจ็บจากการประท้วงและถูกปิดไมโครโฟน น.ส.รสนา จึงยกมือขออนุญาตประธานสภาแล้วแถลงว่า “ดิฉันคิดว่านายกรัฐมนตรีมาแถลงนโยบายในวันนี้ไม่ถูกต้อง เพราะข้างนอกมีประชาชนได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก นโยบายของท่านเป็นกระดาษแต่คนบาดเจ็บข้างนอกป็นของจริง ท่านจะให้สภาเป็นตรายาง รับรองรัฐบาลเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง” แล้วก็ถูกปิดไมโครโฟนเช่นกัน แต่ น.ส.รสนา ยังคงพูดต่อไปแม้ถูกปิดไมโครโฟน เชื่อ “สมชาย” รู้เหตุการณ์หน้าสภา จากนั้น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครัฐบาลโห่แสดงความไม่พอใจ และมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายคนกรูเข้ามาแสดงความไม่พอใจ และชี้หน้าด่า ว่า “คุณหยุดการทำชั่วเดี๋ยวนี้ คุณมันเลว คุณมันหนักแผ่นดิน" เชื่อว่า นายสมชาย จะต้องได้ยินการลุกขึ้นประท้วงของนายประสงค์ และ น.ส.รสนา เพราะการโห่แสดงความพอใจนั้นเกิดขึ้นภายหลังที่ นายประสงค์ และ น.ส.รสนา ลุกขึ้นประท้วงแล้ว แต่อย่างไรก็ตามเมื่อนายสมชาย ให้ถ้อยคำว่า เมื่อแถลงเสร็จแล้วจึงมีการมารายงานให้ทราบ ก็อนุมานได้ว่า นายสมชาย ทราบดีแล้วว่าเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นในช่วงเช้า ประกอบกับ พล.อ.ชวลิต ได้ขอลาออกจากตำแหน่ง เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการสลายการชุมนุมในช่วงเช้าด้วยแล้ว เชื่อว่า นายสมชาย ต้องทราบเหตุการณ์และความเสียหายที่เกิดขึ้นจาก แจ้งข้อหา ครม.ชาย “ฆ่า-พยายามฆ่า” การสลายการชุมนุมในช่วงเช้า ฉะนั้น นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้สั่งการให้มีการสลายการชุมนุม และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในการสลายการชุมนุมและสั่งการให้มีการสลายการชุมนุม รวมทั้งรัฐมนตรีที่อยู่ด้วยในการประชุมคณะรัฐมนตรี แต่มิได้คัดค้านการใช้กำลังและระเบิดแก๊สน้ำตาเข้าสลายการชุมนุม ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นในการสลายการชุมนุม ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิต่อมนุษยชนและละเมิดต่อกฎหมาย เมื่อ นายสมชาย นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีทราบว่า ผลของการสลายการชุมนุมในช่วงเช้าเป็นเช่นใดแล้ว กลับปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังและระเบิดแก๊สน้ำตาเข้าสลายการชุมนุมอีกในช่วงบ่าย ช่วงเย็น และช่วงกลางคืน จนเป็นเหตุให้มีประชาชนได้รับบาดเจ็บ บาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก และมีผู้เสียชีวิตด้วย โดยมิได้ห้ามปรามหรือมีมติหรือคำสั่งระงับยับยั้งการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้กระทำเกิดกว่าความจำเป็น การกระทำของ นายสมชาย และ พล.อ.ชวลิต รวมทั้งรัฐมนตรีที่อยู่ด้วยในการประชุมคณะรัฐมนตรี แต่มิได้คัดค้านการใช้กำลังและระเบิดแก๊สน้ำตาเข้าสลายการชุมนุ เข้าข่ายเป็นการปฏิบัติและหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด เมื่อปรากฎว่ามีประชาชนได้รับบาดเจ็บ บาดเจ็บสาหัสเป็นจำนวนมาก และมีผู้เสียชีวิตด้วยจากกการกระทำที่เกินความจำเป็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าว ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายการกระทำของนายสมชาย นายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่อยู่ด้วยในการประชุมคณะรัฐมนตรี แต่มิได้คัดค้านการสลายการชุมนุม เข้าข่ายเป็นความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้บุคคลอื่นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส, ฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 295, 297, 288, 84 แนบหนังสือ “อภิสิทธิ์” เร่งรัดสอบ นอกจากนี้ ในรายงานผลสรุปการตรวจสอบข้อเท็จจริงการสลายชุมนุมวันที่ 7 ต.ค.2551 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ได้แนบหนังสือลงนามโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ลงวันที่ 9 ต.ค.2551 เรื่อง ขอให้สอบสวนเหตุการณ์การสลายการชุมนุมวันที่ 7 ต.ค.2551 เรียน ศาสตราจารย์เสน่ห์ จามริก ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่ส่งถึงคณะกรรมการสิทธิฯ ส่งแนบท้ายผลสรุปดังกล่าวให้ ป.ป.ช.พิจารณาด้วย ซึ่งหนังสือมีเนื้อหาว่า สืบเนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการที่เจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมของประชาชนบริเวณรอบอาคารรัฐสภา และพื้นใกล้เคียงจนเป็นเหตุให้มีประชาชนได้รับบาดเจ็บกว่า 400 คน ความทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตจำนวนหนึ่งเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 พรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจาการสั่งการและปฏิบัติการที่รุนแรงเกินกว่าเหตุตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงยามวิกาลทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายและละเมิดต่อสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงสมควรที่จะต้องสอบสวนหาข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินการลงโทษต่อผู้กระทำความผิดต่อไปอาศัยความตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 15 ข้อ2 ว่าด้วยอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในการตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษญชนหรืออันไม่เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี และเสนอมาตรการการแก้ไขที่เหมาะสมต่อบุคคลหรือหน่วยงานที่กระทำหรือละเลยการกระทำดังกล่าวเพื่อดำเนินการในกรณีที่ปรากฏว่า ไม่มีการดำเนินการตามที่เสนอให้รายงานต่อรัฐสภาเพื่อดำเนินการต่อไป พรรคประชาธิปัตย์ จึงขอให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติดำเนินการสอบสวนเบื้องหน้าเบื้องหลังอันเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นตามอำนาจหน้าที่เป็นการเร่งด่วนเพื่อลงโทษผู้กระทำผิดต่อไป จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา

ขวัญชัย - ไพร่พนา ยังกร่าง! ขู่รัฐบาลต้องเอาผิดพันธมิตรฯ หากเฉยปลุกเสื้อแดงไล่










“ขวัญชัย” เตรียมคนเสื้อแดงเรือนแสน สู้รัฐบาลใหม่ หากนิ่งเฉยไม่เอาผิดพันธมิตรฯ เผย พร้อมให้โอกาสพรรคประชาธิปัตย์ บริหารงาน แต่หากเลือกปฏิบัติไม่ดำเนินคดีกับกลุ่มเสื้อเหลือง พร้อมปลุกระดมรากหญ้าออกไปชุมนุมกดดัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (17 ธ.ค.) เวลา 13.00 น.ที่สถานีวิทยุชมรมคนรักอุดรคลื่น 97.5 นายขวัญชัย สาราคำ ไพร่พนา ประธานชมรมคนรักอุดร เปิดเผยถึงความเคลื่อนไหวของสมาชิกชมรมฯ หลังจากที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ว่า ชมรมคนรักอุดร รับไม่ได้กับพฤติกรรมการเมือง แต่ต้องยอมรับตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจุดยืนของชมรมฯ ในตอนนี้ ก็คือ ต้องมาดูการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีกันว่า ในส่วนคนของพรรคประชาธิปัตย์ 15 คนนั้น เป็นใครบ้าง ต้องจับตาดู นายขวัญชัย กล่าวอีกว่า รัฐบาลชุดนี้ ต้องมาดูก่อนว่าถ้าหาก นายอภิสิทธิ์ ไม่ประกาศจุดยืนในการที่จะดำเนินคดีกับกลุ่มพันธมิตรฯ ทางชมรมฯก็คงต้องออกไปกดดันแน่ ในกรณีที่ถ้าหากว่า ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์.เลือกปฏิบัติไม่ดำเนินคดีกับกลุ่มพันธมิตรฯ ทางชมรมฯของเราซึ่งมีสมาชิกเยอะ ก็พร้อมที่จะออกมาเคลื่อนไหวได้ตลอดเวลา แต่ตอนนี้ตนได้สั่งเบรกเขาไว้ก่อน ไม่อยากจะให้เกิดความวุ่นวาย อยากจะให้โอกาสกับพรรค ปชป.ก่อน เพราะเห็นว่าขณะนี้ ทั้งนักวิชาการ ประธานหอการค้า ประธานสภาอุตสาหกรรม สื่อมวลชน ต่างก็ออกมาชื่นชมยินดีกับรัฐบาลของ ปชป.กันมากมายเหลือเกิน ตนก็อยากจะลองดูสักระยะหนึ่งก่อน ถ้าทำงานไปแล้วเกิดเหตุการณ์ไม่ดีขึ้นมา พวกเราก็พร้อมที่จะก้าวเดินทันที โดยทางชมรมคนรักอุดรก็จะออกมาเป็นเจ้าภาพเป็นแกนนำหลักๆ ของคนเสื้อแดงทั้งภาคอีสานและภาคเหนือ นายขวัญชัย กล่าวถึงการคุกคามที่ตนและสมาชิกชมรมฯ ได้รับอยู่ในขณะนี้ คือ กรณีที่มีการประชุมจังหวัดทุกครั้งก็ทราบว่าในขณะนี้ได้มีนายทหารยศพันเอก คนหนึ่งในค่าย มทบ.24 อุดรธานี ที่เป็นพันเอกมานานค่อนข้างจะมีบทบาทมากในสังคมอุดรฯ ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคยถูกตรวจสอบมา ว่า เป็นผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งมาแล้ว และเป็นนายทหารที่อยู่ข้างพันธมิตรฯมาตลอด ก็พยายามที่จะจับผิดสมาชิกชมรมคนรักอุดรมาตลอด แกนนำชมรมคนรักอุดร กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของสถานีวิทยุของชมรมในขณะนี้นั้นก็โดนบีบ แม้แต่สถานีในต่างอำเภอและต่างจังหวัดที่เป็นเครือข่าย ทำให้สมาชิกรับฟังไม่ได้ ตอนนี้ก็คิดว่าจะหาเงินอีกสักก้อนมาซื้อเครื่องเพิ่มกำลังส่งให้มากขึ้น

วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ตราบาป7ตุลาเลือด สุชาติ เหมือนแก้ว - อำนวย นิ่มมะโน รอดยาก !!!







หลังเสร็จสิ้นการโหวตนายกรัฐมนตรี คนที่ 27 ของประเทศไทย ที่ "นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับชัยชนะโดยไม่มีการพลิกโผ ทุกภาคส่วนที่ต้องทำงานร่วมกับรัฐบาลก็จะเกิดแรงกระเพื่อมดั่งคลื่นที่ถาโถมเข้ามา โดยเฉพาะแวดวงสีกากี เพราะเมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว การดึงบุคคลในสังกัดเข้ามานั่งทำงานในตำแหน่งสำคัญถือเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่ถือเป็นหน่วยงานหลักที่ต้องดูแลเมืองหลวง เป็นที่รู้กันว่าการก้าวเข้ามานั่งเก้าอี้ ผู้นำนครบาล ของ "พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว"เพราะได้รับคำสั่งจากใครบางคนที่ไม่พอใจกับการปฏิบัติปราบปรามกลุ่มม็อบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ของ "พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง"ที่เหมือนกับอ่อนข้อ ทำให้ม็อบได้ใจฮึกเหิม จนตัวเองต้องกระดอนไปนั่งตบยุงอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเพราะ “บิ๊กเบื๊อก” เป็นเพื่อนร่วมรุ่น นรต.26 ของ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร"อดีตนายกรัฐมนตรี ความพยายามที่จะผลักดันม็อบพันธมิตร ก้างชิ้นโตที่ขวางคออยู่ เพื่อเปิดทางให้ รัฐบาล"สมชาย"ทำงานได้อย่างแคล่วคล่องว่องไว จึงต้องตกมาเป็นการบังคับสั่งการของ น.1 คนใหม่ ด้วยบุคลิก “อ่อนนอก แข็งใน” จึงเชื่อว่าคำสั่งที่ได้รับมาในการสลายม็อบจะสำเร็จได้อย่างลุล่วง แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะหลังเข้ารับตำแหน่งได้เพียง 7 วัน เช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งเป็นวันที่รัฐบาล "นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์"นายกรัฐมนตรี จะต้องแถลงนโยบาย แต่เพราะพันธมิตรฯที่พยายามขัดขวางไม่ให้กลุ่ม ส.ส. และคณะรัฐมนตรีเข้าไปยังอาคารรัฐสภาได้ จึงเกิดการปะทะกันขึ้น ถึงขนาดมีการสั่งยิงแก๊สน้ำตาใส่ประชาชนจนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต นั่นถือเป็นผลงานที่โดดเด่นที่สุดของ “บิ๊กเบื๊อก” พล.ต.ท.สุชาติ ผบ.เหตุการณ์ หลังเข้ารับตำแหน่งแม่ทัพนครบาล วันที่เข้ารับตำแหน่งนครบาล “บิ๊กเบื๊อก” คงเหมือนรู้ชะตากรรมตัวเองในอนาคต ที่ได้เผลอปากหลุดคำพูดแบบทีเล่นทีจริง กับเพื่อตำรวจด้วยกัน ว่า “ตอนนี้ต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน จะอยู่จนครบเทอมหรือเปล่ายังไม่รู้เลย” อีกรายที่อาจจะถูกคลื่นซัดสาด จนกระเด้งกระดอน คงต้องเป็น “นวยทนได้” ที่ไม่เกี่ยวกับโฆษณา “สีทนได้” สายล่อฟ้า ประจำ บช.น. "พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน" รอง ผบช.น. เพราะผลงานที่ผ่านมา ช่างเข้าตาดีเหลือหลาย ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวโทษกลุ่มพันธมิตรฯ ถึงขนาดป้ายความผิดในข้อหา ก่อการร้าย เนื่องมาจากการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ และยังขู่ เหล่าผู้ให้การสนับสนุนพันธมิตรฯ ว่าจะต้องถูก ปปง. เข้าตรวจสอบเส้นทางการเงิน ถึงขนาดที่จะยึดทรัพย์ ตามกฎหมายฟอกเงินอีกต่างหาก แต่เมื่อสถานะทางการเมืองยังไม่นิ่งเท่าที่ควร ตำแหน่งผู้นำนครบาลคนใหม่ก็ยังไม่มีการฟันธง หรือคอนเฟิร์ม อย่างที่หมอดูชื่อดังหาญกล้า คงต้องเป็นการมองข้ามช็อตไปถึงการปรับเปลี่ยนโยกย้ายกลางปีช่วง เดือนเมษายน แต่รายชื่อหนึ่งที่ไม่อาจจะมองข้ามไปได้คงต้องเป็น “บิ๊กตุ๊” พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ผบช.ภ.3 ลูกหม้อนครบาลคนสำคัญ และเป็นนักสืบมือดี ที่ปั้นลูกศิษย์ดัง ๆ มาแล้วมากมาย แต่เพราะขั้วอำนาจเก่าที่ยังต้องการมือไม้ ที่สั่งการได้โดยง่าย ทำให้ หลายรายถูกกระเด้งกระดอนออกไปอยู่นอกหน่วยเป็นทิวแถว หาก ชื่อของ “บิ๊กตุ๊” อยู่ในแคนดิเดต คงหวังลึก ๆ อยากนั่งตำแหน่งแม่ทัพเมืองหลวง คงจะเป็นสิ่งพิเศษเพราะการได้เดินตามรอยเท้า พล.ต.อ.มนต์ชัย พันธุ์คงชื่น อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ผู้เป็นบิดาที่เคยนั่งตำแหน่งนี้มาก่อน คงไม่เกิดขึ้นบ่อยในประวัติศาสตร์วงการตำรวจ แต่เมื่อฟ้าเปลี่ยนสี การเมืองเปลี่ยนขั้ว ใครจะรู้ คนที่จะเข้ามารับตำแหน่ง ผบช.น. อาจจะพลิกโผ เป็นข้าวนอกนา ที่คว้าชิ้นปลามันไปกินอย่างเอร็ดอร่อยก็เป็นได้ จะอย่างไรก็ตาม ในวันศุกร์ที่ 19 ธ.ค.นี้ คงได้รู้กันแล้วว่า ข้อเท็จจริงในการสลายชุมนุม 7 ตุลาเลือดของคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชน ที่มี"นายสุรสีห์ โกศลนาวิน" เป็นประธาน กำลังจะปรากฏผลขึ้น โดยในข้อเท็จจริงดังกล่าวที่จะถูกส่งไปยัง ป.ป.ช.นั้น มีชื่อของ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. และพล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผบช.น.อยู่ด้วย และหาก ป.ป.ช.ชี้มูลว่าผิด ทั้ง พล.ต.ท.สุชาติ และพล.ต.ต.อำนวย คงไม่ต่างไปจาก พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา หรือ"โอ๋ สืบ6"ที่ขณะนั้น เพียงแค่ปล่อยกุ๋ยเข้าทำร้ายประชาชน แต่กับกรณีนี้ ประชาชนถึงขั้นบาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งหนักหนาสาหัสกว่าหลายเท่านัก ถึงขั้นนี้แล้ว สงสัยทั้งผู้บัญชาการเบื๊อก และรองนวยฯคงรอดยาก....!

“เพ็ญ” ปากดีเหน็บพันธมิตรฯ รับจ้าง “คนอยู่เหนือ”





“เจ๊เพ็ญ” จีบปากร่วมปราศรัยปลุกระดมคนเสื้อแดงที่สนามศุภฯ ปากกล้าจะจัดการกับพันธมิตรฯ ในข้อหาก่อการร้ายให้ได้ อ้างต่างชาติรู้แล้วเบื้องหลังเป็นใคร โวเสื้อแดงพร้อมชุมนุมยืดเยื้อและขยายไปทั่วประเทศ ปิดท้ายอ่านกลอนเหน็บแนมพันธมิตรฯ ยึดสนามบินไม่มีใครกล้าจับเพราะรับจ้าง “คนอยู่เหนือ” แถมเป่าหู “ถ้ารำคาญหมาต้องตีเจ้าของหมา” วันนี้ (13 ธ.ค.) เมื่อเวลา 17.15 น. นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ได้กล่าวปราศรัยบนเวที รายการความจริงวันนี้สัญจร ครั้งที่ 3 ซึ่งจัดโดยกลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่อ้างชื่อเป็นแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งช่าติ หรือ นปช.ที่สนามศุภชลาศัย โดยเนื้อหลักที่กล่าวคือ การมุ่งโจมตีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย ที่ต้องจัดการนำตัวมารับโทษให้ได้ ซึ่งแม้วันนี้ทางแกนนำกลุ่ม นปช.อาจจะเหมือนกับไม่ได้ดำเนินการอะไรมากนัก แต่ก็อยากให้แนวร่วม นปช.ทุกคนอดใจรอต่อไปอีกนิด เพราะแกนนำ นปช.สัญญาว่าจะต้องผลักดันให้มีการดำเนินการกับกลุ่มพันธมิตรฯ อย่างแน่นอน และโทษในการเอาผิดนั้น ตนเชื่อว่าสามารถเอาผิดได้แน่นอน และเป็นโทษสถานหนักเสียด้วย เพราะอย่างในต่างประเทศกลุ่มคนที่กระทำการก่อการร้าย การลงโทษนั้นถึงขั้นประหารชีวิตเลยทีเดียว นายจักรภพ กล่าวต่อว่า เรื่องการชุมนุมที่ทำตัวเหมือนผู้ก่อการร้ายของพันธมิตรฯ นั้น แต่ก่อนสื่อต่างชาติเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจ ว่าเพราะเหตุใดประเทศไทยจึงไม่ยอมดำเนินการกับกลุ่มพันธมิตรฯ ทั้งที่กระทำการเข้าข่ายผู้ก่อการร้าย ซึ่งเราก็ทำได้เพียงกระซิบบอกเหตุผลเขาเบาๆ เท่านั้น แต่จนถึงวันนี้เราคงไม่ต้องกระซิบบอกใครแล้ว เพราะสื่อต่างชาติเขาได้ตะโกนบอกให้โลกได้รู้แล้วว่าใครที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ นายจักรภพ กล่าวด้วยว่า จุดมุ่งหมายในการชุมนุมของ นปช.นั้นเกิดขึ้นมาเพื่อทำลายผู้ก่อการร้ายอย่างพันธมิตรฯ แล้วตามด้วย ทำลายพรรคการเมืองที่เป็นข้าทาสของผู้ก่อการร้าย รวมไปถึงต่อต้านการรัฐประหารทั้งในรูปและซ่อนรูป ดังนั้นจึงอยากเตือนไปยังกลุ่มคนที่ไม่ยอมรับในระบอบประชาธิปไตย รวมถึงบรรดากลุ่มคนที่อยู่ในระบอบนิติธรรมด้วยว่า “อย่าคิดว่าใส่เสื้อครุยแล้วจะรอดไปได้ ถ้าไม่อยู่ในหลักการของประชาธิปไตย” นอกจากนี้ ตนยังเชื่อว่า กิจกรรมของคนเสื้อแดงจะยาวนานไปตลอดปี และขยายไปทั่วประเทศ มีคณะทำงาน มีการจัดกิจกรรม และถ่ายเลือดไปยังลูกหลาน ให้ทุกครอบครัวมีความเป็นประชาธิปไตยในสายเลือดทุกคน เพื่อที่จะมาต่อต้านเผด็จการร่วมกัน ในช่วงท้ายการปราศรัย นายจักรภพได้กล่าวโจมตี นายเนวิน และ นายชัย ชิดชอบ ด้วยว่า ทำตัวเป็นพวกชุบมือเปิบ ที่แอบอ้างเอาผลงานดีๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้ง 30 บาทรักษาทุกโรค โครงการโอทอป โครงการแปรสินทรัพย์เป็นทุน ฯลฯ ไปเป็นความดีความชอบของตัวเอง และวันนี้ก็จะเอาความดีของโครงการเหล่านั้นไปต่อยอดแล้วแอบอ้างว่าผลงานเหล่านั้นเป็นของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งนายเนวิน กำลังสนับสนุนให้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จากนั้นนายจักรภพ ได้กล่าวบทกลอน เป็นการทิ้งท้ายซึ่งมีเนื้อหาที่หมิ่นเหม่ โดยบทกลอนดังกล่าวมีเนื้อหาดังนี้ “ยุบแล้วยุบอีกจึงฉีกขาด เพราะยุบซ้ำธงชาติจึงขาดวิ่น นอนซมล้มป่วยระรวยริน ชาติจะสิ้นกรรมหรือไม่ได้รู้กัน เอาประเทศชาติเป็นราชพลี กลับเอาศักดิ์ศรีมาห่ำหั่น หลักกฎหมายพักวินาศเพราะฟาดฟัน เพราะอัตตาสุดขั้นสุดบรรยาย ประชาชนอยู่ตรงไหนในบ้านนี้ ถ้าศักดิ์ศรีหาไม่ก็ใจสลาย ถ้าขอร้องแล้วไม่รู้ก็สู้ตาย จะไม่ขายวิญญาณขอทานกิน คือระบบอุปถัมภ์อันซ้ำซาก แล้วโยนกากให้มวลชนคนท้องถิ่น ชนชั้นกลางแบ่งสมบัติปล้นรัฐกิน คนที่อยู่ติดดินต้องกินเกลือ โจรพันธมิตรฯ เหตุที่ไม่มีใครจับ เพราะเขารับจ้างคนที่อยู่เหนือ กระชากชาติมาขยุ้มไม่คลุมเครือ ยังรอดตัวเหลือเชื่อเพราะเอื้อกัน ประชาชนก้าวหน้าเวลานี้ ย่อมรู้ดีทุกๆ เรื่องเบื้องหลังนั่น ....(เสียงไม่ชัด) เพราะทักษิณกล้าเปลี่ยนประเทศชาติ ด้วยอำนาจมวลชนคนทั้งหลาย เพราะตั้งใจเกินขั้นจึงอันตราย ถูกทำลายทุกๆ จุดไม่หยุดยิง ขอขอบคุณที่สามานย์กันแสบไส้ ยึดสนามบินไว้ก็ดียิ่ง ยึดทำเนียบรัฐบาลมันส์จริงๆ เพราะทุกสิ่งช่วยยืนยันใครบัญชา จากนี้ไปแบ่งออกไม่หลอกเล่น ใครอยากเป็นทาสตลอดไปกอดขา ใครอยากมีศักดิ์ศรีอย่าลีลา ร่วมประชาธิปไตยไม่ต่อรอง พี่น้องครับใกล้วันสำคัญแล้ว มาวางแนวปวงชน คนทั้งผอง ประเทศนี้คือของเรา เราครอบครอง ด้วยครรลองเสรี มีศีลธรรม อย่าไปด่าหมาใครเขาใช้เห่า มันก็เฝ้าเห่าทั้งวันลั่นยันค่ำ รำคาญหมาตีเจ้าของต้องช่วยจำ เจ้าของกรรมชั่วที่ก่ออย่าต่อรอง ต้องช่วยกันอธิบายให้ความรู้ เอาความจริงขึ้นสู้ไม่มีสอง กระเทาะแผ่นผิวฉาบที่ทาบทอง ให้เห็นของแท้ทั้งนั้นสันดานจริง ยุคนี้กรรมแม้นิดจังติดจรวด ตามไล่กวดทุกคนถึงบนหิ้ง คนที่ทำกรรมดีก็ดีจริง ขอจงหยิ่งในวิญญาประชาธิปไตย”

"แม้ว"โฟนอินงาน"แก๊งหัวขวด"ลั่นต้องกลับไทยให้ได้




วีระ” นำแก๊งหัวขวด จัดงานระดมทุน ขายโต๊ะจีนโต๊ะละ 5 แสน อุ้ม “ความจริงวันนี้” ในโรงแรมหรู บรรยากาศสุดเงียบเหงา คนร่วมบางตา ไร้เงากลุ่มทุนมาร่วม มีเพียง ส.ส.และกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย อ้างได้เงิน 17.50 ล้าน เป็นทุนต้านรัฐบาล ปชป. "นายใหญ่"เซอร์ไพรส์ โฟนอินเข้างาน ลั่นต้องกลับประเทศไทยให้ได้


แกนนำผู้ดำเนินรายการ “ความจริงวันนี้” ประกอบด้วย นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ นายก่อแก้ว พิกุลทอง ร่วมกันจัดงานระดมทุนอุ้มความจริงวันนี้ ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น โดยบรรยากาศภายในงานซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่เวลา 18.00 น.เป็นไปด้วยความเงียบเหงามีผู้เข้าร่วมงานบางตา มีเพียง ส.ส.และกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยเข้าร่วมงาน นายวีระ กล่าวว่า ทางผู้จัดได้จัดเตรียมโต๊ะจีนไว้จำนวนทั้งสิ้น 70 โต๊ะ ราคาโต๊ะละ 500,000 บาท ซึ่งการจัดงานในวันนี้เป็นเพียงการนัดรับประทานอาหารกันธรรมดาไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ส่วนรายได้นั้นได้บอกไปแล้วว่าเป็นการหาเงินอุ้มรายการความจริงวันนี้ ส่วนจะนำเงินไปเช่าช่องสัญญาณ เพื่อเป็นช่องทางในการออกอากาศรายการความจริงวันนี้ หลังถูกยุติการออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ NBT หรือไม่ ยังไม่สามารถให้คำตอบได้แน่ชัด ทั้งนี้ จะต้องมีการปรึกษาหารือกันอีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไร นายวีระ ยังกล่าวด้วยว่า ตนไม่ทราบว่าจะมีบุคคลสำคัญทางการเมืองบุคคลใดเดินทางเข้าร่วมงานในครั้งนี้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม การจัดงานวันนี้ได้เงิน 17.5 ล้านบาท จากเป้าหมาย 35 ล้านบาท โดยไม่ได้ระบุว่ามีใครมาซื้อโต๊ะบ้าง แต่บอกว่าจะใช้เงินจำนวนนี้ใหเกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะการรักษาประชาธิไตย โดยจะต่อต้านรัฐบาลที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีให้ถึงที่สุด ต่อมา เวลา 21.30 น. ในช่วงที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ พูดบนเวที โดยพูดถึงสาเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยุติการการโฟนอินเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ปรากฏว่ามีสุภาพสตรีคนหนึ่งยื่นโทรศัพท์ให้นายณัฐวุฒิ จากนั้นนายณัฐวุฒิ ได้ประกาศว่าปลายสายเป็น พ.ต.ท.ทักษิณ จึงได้เปิดเสียงลำโพงโทรศัพท์ผ่านไมโครโฟน ซึ่งมีความยาวประมาณ 10 นาที โดยมีเนื้อว่า “ผมเข้าใจว่าผู้รักประชาธิปไตยคงขมขื่นไม่แพ้กับตน เพราะถูกคุกคามทุกรูปแบบ วันนี้มีการไม่เคารพการตัดสินใจของประชาชนเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก เมื่อไม่ให้การเคารพก็แสดงว่าไม่รับฟังเสียงของประชาชน “วันนี้มีการทำทุกวิถีทางตั้งกติกาเพื่อเปลี่ยนขั้วอย่างเดียวเริ่มต้นด้วยการปฏิวัติ แต่เมื่อเลือกตั้งประชาชนก็ยังเลือกขั้วเดิม ใช้ทั้งทหาร พรรคประชาธิปัตย์ ใช้ทั้งศาล สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้คนไทยไม่ได้โง่ทุกคนรู้คนต่างประเทศก็รู้ สิ่งที่เลวร้ายคือความน่าเชื่อถือต่อไทย สิ่งที่เลวร้ายกว่าจะตามมาคือเรื่องความเชื่อมั่น และการลงทุนเมื่อเกิดหายนะทางเศรษฐกิจปัญหาสังคมก็จะตามมา “ผมไม่ห่วงตัวเองผมปรับตัวได้แต่ผมเป็นห่วงประเทศของเรา วันนี้ทุกเวทีโลกก็พยายามพูดคุยกันเพื่อแก้ปัญหาแต่ของเรากับทะเลาะกันเองทำกติกาทุกอย่างเพื่อชำระล้างแค้น ถ้าขืนปล่อยต่อไปอย่างนี้ไม่รู้อนาคตประเทศและลูกหลานจะไปทางไหน “ห่วงประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลไม่รู้อนาคตของประเทศไทยจะไปทางไหน ผมไม่ได้ห่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลเพราะคราวที่แล้วก็มีการช่วยกันเต็มที่ก็ยังไม่ได้มา วันนี้ผมเป็นห่วงฝีมือว่าเขาทำงานได้แค่ไหน แต่ก็คงยาก วันนี้ยังแย่งเก้าอี้กันยังไม่จบ มีทั้งการจ่ายเงินซื้อตัว ซื้อเก้าอี้ ให้รถ ซึ่งเลวร้ายกว่าการซื้อเสียง คือการซื้อคน “ผมไม่เคยคิดว่าคนทำงานทุ่มเทจะโดนขนาดนี้ สำหรับผมก็ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะอะไร เหตุที่เกิดคือคำหนึ่งที่พูดว่าผมไม่จงรักภักดี สำหรับผมหนักที่สุด ซึ่งผมไม่เคยคิดแต่ก็มีการกระทำทุกอย่างที่จะคอนเฟิร์มว่าผมไม่จงรักภักดี จนสุดท้ายกติกาบ้านเมืองเสียหายหมด คนไทยลำบากหมด ไม่รู้ทำเพื่ออะไร เขาบอกผมเป็นตัวปัญหาซึ่งความจริงแล้วมันไม่ใช่ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร ก็ได้แต่เสียใจ”พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวอีกว่า ขอเป็นกำลังใจให้พี่น้องชาวเสื้อแดง เพราะเสียสละรักชาติ และอยากขอฝากว่าบ้านเมืองเป็นมรดก เราจะต้องช่วยกันดูแล โดยขอให้ปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อปกป้องประชาธิปไตย เพราะเราไม่มีเส้น ไม่มีทหารนำไปยึดสถานที่ต่างๆ มีแค่หัวใจ ที่รักประชาธิปไตยก็ต้องต่อสู้ในกรอบ สื่อหลายฝ่ายก็ถูกปิดกั้น หลายส่วนก็ไม่ชอบเรา หลายส่วนก็มีอุดมการณ์แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ขอให้พี่น้องระมัดระวังตัว คนดี “และขอขอบคุณอีกครั้งในทุกอย่าง ผมเป็นหนี้บุญคุณกับท่าน ตอบแทนเมื่อมีโอกาสได้กลับ ผมมั่นใจว่าจะได้กลับมา ไม่ว่าจะในสภาพไหน แต่ก็ได้กลับมา แต่ไม่กลับมาในสภาพหมดลมหายใจแน่นอน” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว นายจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้จัดรายการความจริงวันนี้ ได้เปิดเผยว่าโทรศัพท์เครื่องที่พ.ต.ท.ทักษิณโทรเข้ามานั้นเป็นเครื่องของเพื่อนสนิท พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มาร่วมงานด้วย ซึ่งได้ต่อสายไปหา พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ อนึ่ง รายการ “ความจริงวันนี้” ซึ่งเริ่มออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีมาตั้งแต่วันที่ 21 ก.ค.2551 ขณะที่ นายสมัคร สุนทรเวช ยังเป็นนายกรัฐมนตรี โดย นายสมัคร ต้องการใช้รายการนี้เพื่อตอบโต้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ชุมนุมขับไล่รัฐบาลมาตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.ปีเดียวกัน แต่เมื่อเริ่มรายการได้ให้ นายวีระ มาเป็นผู้จัดรายการแทน เนื่องจากติดเงื่อนไขสัญญากับเอกชน อย่างไรก็ตาม รายการดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมทั่วไปว่า ให้ความจริงเพียงด้านเดียว เพื่อที่จะปกป้อง “ระบอบทักษิณ” เป็นวัตถุประสงค์หลัก จึงถูกเหน็บแนมว่า เป็นรายการ “ความเท็จวันนี้” บ้าง ขณะที่ผู้ดำเนินรายการก็ถูกตั้งฉายา “สามเกลอหัวขวด” บ้าง เพราะไม่ได้ให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม นอกจากสร้างความแตกแยกเท่านั้น จนกระทั่งหลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชน และพรรคร่วมรัฐบาลอีก 2 พรรค ทำให้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกัน กลุ่มของ นายเนวิน ชิดชอบ หันไปสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ทำให้ขั้วพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที จึงขอใช้สิทธินำเวลาของรายการไปจัดรายการพิเศษตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค.เป็นต้นมา จนกระทั่งวานนี้ (16 ธ.ค.) ทีมงาน “ความจริงวันนี้” ได้แถลงข่าวประกาศยุติการร่วมงานกับเอ็นบีทีหลังจากหมดสัญญาในสิ้นเดือนนี้ และจะหาช่องทางอื่นในการออกอากาศต่อไป

วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

'แม้ว'จ้อสื่อนอกกระทบเบื้องสูง

เอเอฟพี - สื่อต่างประเทศอ้างคนใกล้ชิดปัดข่าว "แม้ว" เตรียมเดินทางกลับไทยช่วงคริสต์มาสหรือปีใหม่ ขณะที่อดีตนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอาหรับโจมตีอังกฤษที่เพิกถอนวีซ่าไม่ให้เขาเข้าประเทศ พูดจากระทบเบื้องสูงจะกลับบ้านก็ต่อเมื่อประชาชน และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องการให้กลับ เว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์สเตรทไทม์สรายงานว่านายพงษ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกมาปฏิเสธข่าวลือว่าอดีตนายกรัฐมนตรีรายนี้กำลังคิดถึงการกลับไทยในช่วงคริสตร์มาส วันที่ 25 ธันวาคมหรือเทศกาลปีใหม่ "เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กับผม แม้แต่การสนทนากันทางโทรศัพท์ครั้งสุดท้ายเมื่อสัปดาห์ก่อน" นายพงษ์เทพกล่าว พร้อมระบุว่าหากเดินทางกลับ ทักษิณ จะต้องถูกนำตัวไปคุมขังทันทีเพราะว่าเขาถูกพิพากษาว่ามีความผิดฝ่าฝืนกฎหมายผลประโยชน์ขัดแย้งระหว่างดำรงตำแหน่ง หนังสือพิมพ์สเตรทไทม์ได้อ้างคำสัมภาษณ์ของนายนพดล ปัทมะ ทนายความของทักษิณ ที่ระบุเช่นกันว่าไม่มีความปลอดภัยหากทักษิณ จะกลับมาแม้แต่ในคุกก็ตาม "เขาจะไม่ปลอดภัยในเรือนจำ อะไรจะเกิดขึ้นหากพวกเขาปล่อยให้คนบ้าเข้าใกล้เขา" นายนพดลกล่าว ก่อนหน้านี้เว็บไซต์ www.arabianbusiness.com รายงานข่าว "ทักษิณ" ให้สัมภาษณ์ตำหนิโจมตีอังกฤษที่เพิกถอนวีซ่าไม่ให้เขาเข้าประเทศ พร้อมกับประกาศด้วยว่า จะเดินทางกลับประเทศในฐานะนายกรัฐมนตรี รายงานข่าวของเว็บไซต์แห่งนี้ระบุว่า ในระหว่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษแก่ทาง "อราเบียน บิสซิเนส" โดยที่จะมีการนำฉบับเต็มมาตีพิมพ์เผยแพร่ในวันอาทิตย์หน้า (30พ.ย.)นั้น เขาได้แสดงความ "รู้สึกเศร้าสลด" ต่อการที่เขาถูกดำเนินการเพิกถอนวีซ่า พร้อมกับกล่าวหารัฐบาลอังกฤษว่า ไม่เคารพในคุณค่าทางด้านประชาธิปไตยของตัวเอง "อังกฤษต้องมีความเข้าใจที่ดีกว่านี้ แต่โชคร้ายเวลานี้พวกเขามัวแต่ยุ่งอยู่กับปัญหาของพวกเขาเอง ดังนั้นพวกเขาจึงหลงลืมเรื่องคุณค่าทางด้านประชาธิปไตยไปแล้ว" เว็บไซต์นี้อ้างคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ระบุว่า ให้สัมภาษณ์ ณ นครดูไบ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังประกาศว่า เขาจะกลับประเทศไทยในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่ง พร้อมกับย้ำว่า เขาสามารถนำเอาความเชื่อมั่นกลับคืนสู่ประเทศไทยได้ "ประเทศกำลังตกต่ำลงลึก ความเชื่อมั่นไม่มีเอาเลยที่นั่น ความไว้เนื้อเชื่อใจในหมู่ประชาคมระหว่างประเทศ ก็ไม่มีเลยที่นั่น คนยากจนในพื้นที่ชนบท ก็กำลังอยู่ในความลำบาก" เขาบอก "ด้วยการที่ผมเป็นผู้กุมบังเหียน ผมสามารถนำเอาความเชื่อมั่นกลับคืนสู่ประเทศไทยได้อย่างรวดเร็ว เราต้องหากลไกที่จะทำให้ผมกลับไปได้ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมผมต้องบอกคุณว่า ผมจะกลับไปเล่นการเมืองอีก "เว็บไซต์แห่งนี้อ้างคำพูดของเขา อย่างไรก็ดี พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าเขาจะกลับบ้านก็ต่อเมื่อประชาชน และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของประเทศไทย ต้องการให้เขากลับ "ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่เป็นอย่างมากกับอำนาจของประชาชน ถ้าพวกเขารู้สึกว่า พวกเขาอยู่ในความลำบาก และพวกเขาต้องการผมไปช่วยเหลือพวกเขา ผมก็จะกลับไป" เว็บไซต์นี้อ้างคำให้สัมภาษณ์ของเขา "ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรู้สึกว่า ผมสามารถเป็นประโยชน์ ผมก็จะกลับไป และพระองค์ทรงพระราชทานอภัยโทษแก่ผม ถ้าพวกเขาไม่ต้องการผม และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงรู้สึกว่าผมไม่สามารถทำอะไรให้ต่างออกไปได้ ผมก็จะอยู่ที่นี่ และทำธุรกิจไป"

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ย้ำเตือนพฤติกรรมชั่ว! ส.ส.สุดถ่อย...“เก่ง การุณ”


ทันที...ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เข้ายึดพื้นที่ทำเนียบชั่วคราว “รัฐบาลโจร” ในพื้นที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เป็นผลสำเร็จและปักหลักชุมนุมประท้วง ก็ได้เกิดการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเฉพาะวัยรุ่นกลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้าง โพกศีรษะและสวมปลอกแขนสีแดงที่มีข้อความว่า “ต้านเผด็จการ ” จำนวนหนึ่งขับวนเวียนอยู่บริเวณเขตดอนเมือง โดยเฉพาะฝั่งตรงข้ามสนามบินดอนเมือง

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ชื่อของ “การุณ โหสกุล” ส.ส.สุดถ่อยแห่งพรรคพลังประชาชน ออกมาปรากฏผ่านสื่ออีกครั้ง ถึงแม้ครั้งนี้“การุณ”จะออกมาปฎิเสธว่าไม่ได้เกณฑ์มวลชนในพื้นที่เพื่อเตรียมจะบุกทำร้ายพันธมิตรฯ พร้อมกับพูดว่าตนไม่ให้ราคากับคนพวกนี้ โดยได้สั่งการกับคนของตนในพื้นที่ว่าอย่าไปยุ่ง อย่าไปสนใจ อยากจะยึดดอนเมืองก็ให้ยึดไป ปล่อยมันให้มันหมดแรงไปเอง เชื่อว่าทางตำรวจจะมีมาตรการทางกฎหมายจัดการ ส่วนหากจะมีกลุ่ม นปช.รวมตัวในพื้นที่ก็เป็นเรื่องที่อาจจะทำได้แต่ยืนยันว่าตนไม่ได้สั่งการเพราะไม่ต้องการซ้ำเติมสถานการณ์ให้วุ่นวายมากไปกว่านี้

“ผมไม่อยากให้ราคา ได้คุยกับผู้ใหญ่ในพรรคแล้วหลายคนบอกอย่าไปยุ่ง เพราะมีคนจองกฐินเยอะแล้ว แต่เกิดการปะทะจริงๆ ก็ไม่อยากปะทะกับประชาชน เพราะส่วนใหญ่เป็นคนที่ถูกเกณฑ์มา ทั้งนี้อยากท้าให้แกนนำออกไปเดินนอกสถานที่ชุมนุมแล้วดูว่าจะโดนอะไรบ้าง ซึ่งขณะนี้ผมเฝ้าในพื้นที่ตลอดและมีคนโทรศัพท์มาแจ้งว่าพันธมิตรฯ ปล่อยข่าวว่าผมถูกทำร้ายหวังจะยั่วยุคนของผมให้ฮือออกมาทำร้าย และเข้าตามแผนการณ์ของพันธมิตรฯ โดยขอยืนยันว่าขณะนี้ปลอดภัยดีไม่มีใครมาแตะต้องตัวได้เด็ดขาด ”

สำหรับ“นายการุณ โหสกุล”ถือว่า หลายคนคงรู้จักเขาเป็นอย่างดี และเพื่อเตือนความทรงจำ ต่อวีรกรรมของ ส.ส.สุดถ่อยผู้นี้ เริ่มจาก

30 กันยนยน 2551 พ.ต.อ.กัมปนาท โสภโณดร ผกก.สน.โชคชัย กล่างถึงกระแสข่าวที่นายการุณ โหสกุล ส.ส กรุงเทพฯ พรรคพลังประชาชน ถูกระบุว่าเมาเข้าไปเที่ยวผับ “ไม้เอก” (นารีเริงระบำ) ตั้งอยู่บริเวณริมถนนประดิษฐ์มนูธรรม เลียบด่วนถนนรามอินทรา-อาจณรงค์ เขตลาดพร้าว กทม. จากนั้นจะออฟสาวพนักงานต้อนรับ แต่ฝ่ายหญิงไม่ไปด้วยจึงขู่อาฆาตและใช้อำนาจกรรมาธิการตำรวจไปบีบ สน.โชคชัย ให้มาตรวจสอบร้านดังกล่าว โดยกล่าวหาว่ามีเด็กอายุต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดไปเที่ยว มีการโชว์ลามก ค้าประเวณี และปิดเกินเวลาว่า เรื่องดังกล่าวทางเจ้าของร้านไม้เอก หรือพนักงานในร้านยังไม่มีการเดินทางมาแจ้งความ แต่มีหนังสือจากคณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ส่งผ่านมาทาง บก.น.4 ให้ สน.โชคชัย เข้าไปตรวจสอบร้านไม้เอก 4 ข้อ ประกอบด้วย 1.มีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ 2.ปล่อยให้เด็กและเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เข้ามาใช้บริการหรือไม่ 3.เปิดและปิดตามเวลาที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ 4.มีการลักลอบขายบริการทางเพศหรือไม่

“ในข้อแรก เรื่องใบอนุญาตนั้น ทาง สน.โชคชัยตรวจสอบแล้ว รับรองว่ามีใบอนุญาตถูกต้องแน่นอน”

อย่างไรก็ตาม ภายหลังนายการุณ ยืนยันว่า เป็นผู้ร้องเรียนให้ตรวจสอบร้านอาหารดังกล่าวจริง และได้เดินทางไปร้านดังกล่าวจริง แต่ไม่ได้ไปกร่าง หรือขอซื้อบริการในลักษณะดังกล่าว

พฤติกรรมสุดถ่อยสุดๆ ได้เกิดขึ้น ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อ ส.ส.พรรคพลังประชาชน นาม “การุณ โหสกุล” สุดถ่อย กระโดดถีบ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กลางสภาผู้ทรงเกียรติ อีกทั้งยังแสดงท่าทางกักขฬะด่า “ไอ้เอี้ย-แม่ง” ไม่ขาดปากจนสร้างความวุ่นวายนานเกือบชั่วโมง

ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์ ไม่กล้าที่จะแสดงความรู้สึกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ขอขุดคดีความในอดีตของผู้ที่ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นี้มาเตือนความทรงจำกันด้วยสำนวนโบราณที่มีการพร่ำสอนต่อๆ กันมาว่า “สันดอนนั้นไซร้ ตื้นลึกแค่ไหนก็สามารถขุดได้ แต่ 'สันดาน' ยากหยั่งแท้ที่จะขุดรากถอนโคนถึง”

เริ่มจากปี 2549 ราวต้นเดือนสิงหาคม นายเจริญ สารไทสง อายุ 53 ปี เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบริษัท อุดมสุข จำกัด เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.ดอนเมือง ว่าถูก นายการุณ โหสกุล อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคไทยรักไทย และอดีต ส.ก.เขตดอนเมืองในขณะนั้นกับพวก ทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บ และพูดจากข่มขู่จะทำร้ายอีก

ทั้งนี้ นายเจริญให้การว่า บริษัทฯ ได้ให้ตนไปทำหน้าที่ดูแลโรงภาพยนตร์แอร์พอร์ตราม่า ตั้งอยู่เลขที่ 16/137 หมู่ 1 ถนนสรงประภา แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กทม. ซึ่งเป็นโรงภาพยนตร์ที่ปิดกิจการแล้ว ซึ่งขณะที่ตนกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่นั้น นายการุณพร้อมพวกอีก 5 คนได้เข้ามาที่โรงภาพยนตร์ดังกล่าวพร้อมกับสั่งให้ตนเปิดประตูโรงภาพยนตร์เพื่อที่จะเข้าไปดูด้านใน ตนจึงบอกไปว่าถ้าจะเข้าไปต้องขออนุญาตจากผู้จัดการเสียก่อนเพราะไม่มีอำนาจ หากเปิดเข้าไปโดยพลการจะมีความผิด เมื่อนายการุณได้ยินที่ตนพูดไปอย่างนั้น ทำให้ไม่พอใจจนโต้เถียงกันอย่างหนัก ก่อนที่นายการุณจะเตะเข้าที่กกหูข้างซ้ายของตน 2 ครั้ง จังหวะนั้นตนได้แต่เอามือมาป้องไว้ นอกจากนี้ พวกลูกน้องของนายการุณก็พยายามจะกรูกันเข้ามาทำร้ายตนอีกด้วย

“เขายังพูดขู่ว่ากูจะกลับมาอีกครั้ง มึงไม่รู้หรือว่ากูเป็นใคร จำไม่ได้หรือไง ผมก็บอกไปว่าจำได้ และรู้จักด้วยว่าเป็นใครเพราะผมเคยลงคะแนนเสียงให้เขาเมื่อครั้งที่เขาลงสมัคร ส.ส.เขตดอนเมือง แล้วเขาก็กลับไป ส่วนผมก็เดินทางมาแจ้งความไว้เพราะเขาได้พูดขู่ว่าจะกลับมาอีก จึงกลัวว่าจะถูกพวกเขากลับมาทำร้ายอีก” นายเจริญ กล่าว

ก่อนหน้านั้นปี 2548 ต้นเดือนมีนาคม พ.ต.ท.ณฐกร คุ้มทรัพย์ สารวัตรเวร สน.ดอนเมือง รับแจ้งเหตุทะเลาะวิวาทกันที่บริเวณหน่วยเลือกตั้ง ส.ก.เขตดอนเมือง ซึ่งตั้งอยู่ภายในโรงเรียนประชาอุทิศ ถนนประชาอุทิศ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กทม. เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุพบ นายการุณ โหสกุล สามีของนางรัชดาวรรณ โหสกุล ผู้สมัคร ส.ก.จากพรรคไทยรักไทย หมายเลข 1 และชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งแจ้งกับทางเจ้าหน้าที่ว่า นายประสิทธิ์ ชื่นมัจฉา อายุ 52 ปี หนึ่งในทีมงานของตนที่ช่วยหาเสียงให้กับภรรยาของตนนั้นถูกชายฉกรรจ์คนหนึ่งใช้อาวุธข่มขู่

ครั้งนั้น นายการุณระบุว่า ตนพร้อมด้วยทีมงานของพรรคไทยรักไทย ได้เดินทางมาดูแลความเรียบบร้อย รวมทั้งเดินทางมาให้กำลังใจกับภรรยาตนที่หน่วยเลือกตั้งดังกล่าว โดยบรรยากาศในหน่วยเลือกตั้งนั้น ทางกองเชียร์ทั้ง 2 ฝ่าย คือ พรรคไทยรักไทย และพรรคชาติไทย ต่างเชียร์กันอย่างเต็มที่จนกระทั่งมีเรื่องกระทบกระทั่งกัน จากนั้นมีชายคนหนึ่งมากับรถยนต์เปอโยต์ 405 สีเลือดหมู หมายเลขทะเบียน พบ-5367 กทม. เดินเข้ามาขู่นายประสิทธิ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานของตนว่า มึงอยากตายหรือ ซึ่งนายประสิทธิ์ก็มองเห็นว่าชายคนดังกล่าวมีปืนอยู่ จึงเห็นท่าไม่ดีเลยเดินออกมา ตนจึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าว

จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ทำการสกัดจับรถคันดังกล่าวได้ พร้อมกับพบชายคนหนึ่ง ทราบชื่อต่อมาคือ นายสมปอง ชัยฤทธิ์ อายุ 45 ปี ท่าทางมีพิรุธอยู่ในรถ จึงได้ทำการตรวจค้นภายในรถพบ ซองกระสุนปืนขนาด 9 มม.จำนวน 1 ซอง เครื่องกระสุน ขนาด 9 มม.จำนวน 13 นัด และตรวจค้นตามตัวพบมีปืนขนาด 9 มม.ยี่ห้อซีแซด จึงได้ยึดไว้เป็นหลักฐาน พร้อมนำตัวมาดำเนินคดีที่ สน.ในข้อหาพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยไม่มีเหตุอันควร

แต่ในเวลาต่อมา ที่ สน.ดอนเมือง ได้มีนางสมศรี ด่าน หนึ่งในทีมงานของพรรคชาติไทย เขตดอนเมือง ได้เดินทางเข้าแจ้งความต่อ พ.ต.ท.อำนวย โพธิ์ทอง พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ สน.ดอนเมือง ว่าถูกนายการุณ โหสกุล ทำร้ายร่างกาย โดยถูกเตะเข้าที่แขนซ้ายจนได้รับบาดเจ็บ

นางสมศรี ให้การว่า ตนเป็นหนึ่งในทีมงานที่ดูแลความเรียบร้อยของการเลือกตั้ง ส.ก.ของพรรคชาติไทย ซึ่งก่อนเกิดเหตุในช่วงเช้านั้น ตนได้รับแจ้งจากประชาชนว่ามีกลุ่มชายฉกรรจ์หลายคนมาเดินวนเวียนอยู่ในพื้นที่หน่วยเลือกตั้งโรงเรียนประชาอุทิศ และมีการข่มขู่คนมาลงคะแนนเสียงเลือกตั้งด้วย จึงได้ชักชวนนายเขี้ยว ซึ่งเป็นทีมงานของพรรคชาติไทย และเจ้าของรถยนต์เปอโยต์ 405 สีเลือดหมู หมายเลขทะเบียน พบ-5367 กทม.เดินทางมาตรวจสอบยังที่เกิดเหตุ ซึ่งระหว่างนั้นเอง นายเขี้ยวได้ชักชวนนายสมปอง ซึ่งไม่ใช่คนของทางพรรคชาติไทยแต่อย่างใดขึ้นรถมาเป็นเพื่อนด้วย ซึ่งตนก็คิดว่านายสมปองน่าจะรู้จักกับนายเขี้ยว ตนจึงให้ติดรถมายังที่หน่วยเลือกตั้งด้วย

เมื่อมาถึงที่หน่วยเลือกตั้งดังกล่าว พบว่ามีกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนมากตามที่ได้รับแจ้งมา โดยตนเห็นว่ามีนายการุณรวมอยู่ในกลุ่มชายดังกล่าวด้วย ซึ่งขณะนั้นตนก็รู้สึกปวดปัสสาวะจึงได้เดินไปเข้าห้องน้ำ และเมื่อเดินกลับมาที่รถ ขณะที่ตนกำลังจะเปิดประตูรถนั้น นายการุณ พร้อมด้วยกลุ่มของชายฉกรรจ์ดังกล่าวก็เดินตรงมาล้อมรถของตนไว้ ก่อนที่นายการุณจะเตะเข้ามาที่แขนซ้ายของตนทันที พร้อมกับด่าว่าตนด้วยถ้อยคำหยาบคาย แต่หลังจากที่ตนรีบเข้ามาในรถได้นั้นก็ได้รีบโทรศัพท์แจ้งกลับไปทางที่ทำการพรรคให้แจ้งตำรวจทันที โดยที่ยังถูกกลุ่มของนายการุณยืนล้อมรถอยู่

“ขณะนั้นดิฉันคิดว่าอาจจะโดนไข้โป้งแล้ว เพราะคนพวกนั้นบางคนก็ล้วงไปในกระเป๋าเสื้อ คาดว่าน่าจะมีปืนแน่นอน เลยโทร.ไปแจ้งทางพรรคให้แจ้งตำรวจ แต่ฉันขอยืนยันว่านายสมปองไม่ได้ชักปืนขึ้นมาขู่ใครตามที่อีกฝ่ายกล่าวอ้างแน่นอน นายการุณทำแบบนี้ไม่มีความเป็นลูกผู้ชายเหลืออยู่แล้ว ซึ่งดิฉันขอยืนยันว่าจะดำเนินคดีทางกฎหมายกับนายการุณให้ถึงที่สุด” นางสมศรี กล่าว

ในปี 2548 นอกจาก ส.ส.ผู้นี้จะมีคดีความทำร้ายร่างกายกับบุคคลอื่นแล้ว ยังมีคดีความทำร้ายอดีตภรรยาตนเองด้วย โดยเหตุเกิดราวเดือน มิ.ย. เมื่อนางรัชดาวรรณ เกตุสะอาด อายุ 24 ปี ส.ก.เขตดอนเมือง อดีตภรรยานายการุณ พร้อมคณะเพิ่งกลับจากดูงานต่างประเทศ โดยในระหว่างรอรับกระเป๋าเดินทางที่อาคาร 1 อยู่นั้น นายการุณ โหสกุล พร้อมพวกอีก 2 คน คนหนึ่งแต่งเครื่องแบบตำรวจยศจ่าสิบตำรวจได้เข้าไปหานางรัชดาวรรณ โดยนายการุณได้เอ่ยปากบอกให้นางรัชดาวรรณกลับบ้านทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้ว เนื่องจากศาลได้มีคำสั่งให้นางรัชดาวรรณกับนายการุณหย่าขาดกันตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา นางรัชดาวรรณจึงทำท่านิ่งเฉยไม่สนใจ ทำให้นายการุณโกรธมาก ตรงเข้าจิกผมนางรัชดาวรรณแล้วตบหน้า 1 ครั้ง ท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก ด้วยความตกใจกลัว นางรัชดาวรรณจึงรีบเดินหนี แต่นายการุณยังเดินตามและพยายามฉุดกระชาก กระทั่งไปถึงศูนย์รักษาความปลอดภัยในท่าอากาศยานกรุงเทพ มีตำรวจและทหารประจำอยู่ นายการุณจึงเดินหนีไป

ในต้นปี 2548 เช่นเดียวกัน นายการุณต้องเผชิญวิบากกรรม โดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ปรับเงินนายการุณ หรือเก่ง โหสกุล อายุ 38 อดีตผู้สมัคร ส.ส.เขต 14 ดอนเมือง พรรคไทยรักไทย จำเลยในความผิด ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2496 ม.27 ฐานลักลอบนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลบเลี่ยงภาษีศุลกากร เป็นเงินจำนวน 30,254,052 บาท หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังได้ไม่เกิน 2 ปี และริบของกลาง ในคดีคดีลักลอบนำจักรเข้าประเทศ แต่ก็ได้รับการประกันตัวออกไป

คดีนี้ นายการุณได้เดินทางมารายงานต่อตัวงานอุทธรณ์-ฎีกา หลังศาลออกหมายจับไปแล้วเมื่อวันที่ 8 ก.พ. เนื่องจากหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และถูกนำตัวไปควบคุมที่ห้องขังใต้ถุนศาลอาญา ต่อมาญาติของการุณได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินย่านดอนเมืองจำนวน 2 แปลงเนื่อที่ 1 ไร่ 84 ตารางวา ราคาประเมิน 4,800,000 บาท ขอประกันตัว ซึ่งหลังศาลพิจารณาคำร้องและหลักทรัพย์แล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้นายการุณประกันตัวออกไปตีราคาประกัน 4.5 ล้านบาท

หลังได้รับการปล่อยตัว นายการุณในชุดสูทสีดำ เสิ้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้า เนกไทสีแดง พร้อมผู้ติดตามและทนายความ ได้เดินหนีผู้สื่อข่าวและไม่ยอมให้สัมภาษณ์ใดๆ โดยนายการุณใช้เสื้อสูทคลุมศีรษะปิดบังใบหน้าไม่ยอมให้สื่อมวลชนถ่ายภาพทำข่าวและขึ้นแท็กซี่เดินทางกลับไปในทันที

นอกจากนี้ ในปีเดียวกันนั้นเอง ศาลฎีกายังมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ของ “การุณ โหสกุล” จากพรรคไทยรักไทย เพราะมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ประกาศยกเลิกใบปริญญาบัตรของผู้สมัครฯ โดยคดีนี้สืบเนื่องจากนายชัยณรงค์ เทียนมงคล ผู้อำนวยการคณะกรรมการการเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร (ผอ.กกต.กทม.) ได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีการะบุว่า กกต.เขต 14 ได้ตรวจพบว่าคุณสมบัติของนายการุณไม่ต้องด้วย พ.ร.บ.เลือกตั้ง ประกอบรัฐธรรมนูญ ม.107 กล่าวคือ เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 48 กกต.เปิดรับสมัครรับเลือกตั้งที่อาคารกีฬาเวสน์ กทม. โดยนายการุณใช้หลักฐานประกอบการสมัครเป็นวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโทของมหาวิทยาลัยรามคำแหง และเอกสารแสดงวุฒิการศึกษาอื่นๆ ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมายเลือกตั้ง แต่เนื่องจาก กกต.ได้ประกาศรายชื่อเป็นผู้สมัครแล้ว จึงขออาศัยเหตุดังกล่าวเพิกถอนสิทธิการสมัครรับเลือกตั้งของนายการุณ และสุดท้าย ศาลก็มีคำสั่งเพิกถอนการเลือกตั้งดังกล่าวของนายการุณ

นายการุณ ตกเป็นผู้ต้องหาทำร้าย พ.ต.ท.บัญชา คล้ายน้อย รอง ผกก. 2 บก.ป. ขณะเข้าไปสืบสวนหาข่าวการเล่นพนันไก่ชน ภายในสนามชนไก่คลอง 5 หมู่ 14 ต.บึงคำพร้อย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี จนใต้ตาแตก ซึ่งพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหานายการุณ 4 ข้อหา คือ ร่วมกันทำร้ายร่างกาย ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ ทำให้เสียทรัพย์ และดูหมิ่นเจ้าพนักงาน แต่นายการุณรับสารภาพในข้อหาทำร้ายร่างกายเพียงข้อหาเดียว ขณะนี้เรื่องอยู่ระหว่างพิจารณาในชั้นศาลธัญบุรี

ขณะที่ พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบก.ป.ออกมายืนยันหลังเกิดเรื่องว่าได้ตรวจสอบแล้วพบว่า พ.ต.ท.บัญชา ได้เข้าปฏิบัติหน้าที่จริง โดยมีการประสานตำรวจหน่วยงานอื่นๆ ด้วย อย่างไรก็ตาม การทำร้ายเจ้าหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่หน่วยงานใดก็ตามนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ เช่นเดียวกัน เจ้าหน้าที่จะทำร้ายประชาชนก็ไม่ได้เช่นกัน ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นตำรวจท้องที่ได้จับกุมดำเนินคดีทันที

นั่นคือ พฤติกรรมสุดถ่อยของบุคคลผู้นี้...

สารบบคนชั่ว


สำหรับใน Blog นี้เป็นการรวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับคนชั่ว ๆ ที่ก่อเหตุการณ์ต่าง ๆ เอาไว้โดยไม่สำนึกในความผิดของตนเองและพวกพ้อง โดยรวบรวมจากที่ต่าง ๆ เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับค้นหาและเตือนให้กับประชาชนที่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับบุคคล ชั่ว ๆ เหล่านี้