วันอังคารที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2553

ฤๅ 3 เกลอ เป็นเพียงเบี้ย เศษเดนที่กำลังถูกขจัด?

ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต

ถึงวันนี้ ก็ชัดเจนยิ่งขึ้นแล้ว ว่ากองทัพเสื้อแดง มี 3 ส่วน ที่แยกกันทำงาน แยกกันตี แต่มีจอมทัพคนเดียว คือ “ทักษิณ”

1) “3 เกลอหัวขาด” เป็นเพียงแม่ทัพหน้า ผู้ทำหน้าที่จัดการแสดงด้วยการชุมนุม สร้างภาพ “สันติ อหิงสา” แต่สร้างความปั่นป่วน ข่มขู่ผู้คนที่เห็นต่าง กลั่นแกล้งคนกรุงเทพฯ ให้ได้รับความเดือดร้อน เสมือนจับคนกรุงเทพฯ เป็นตัวประกัน ปิดกั้นขัดขวาง สิทธิการเดินทาง สิทธิการประกอบอาชีพของคนอื่น แต่ยังอ้าง “สันติ อหิงสา”

2) “กองทัพใต้ดิน” ออกปฏิบัติการสร้างสถานการณ์ วางระเบิด โยนระเบิด ยิงปืนใส่สถานที่สำคัญๆ หวังให้เกิดการปั่นป่วน ผู้คนบาดเจ็บ อาจล้มตาย เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลอภิสิทธิ์ รวมทั้งข่มขู่รัฐบาลอยู่ในทีว่า หากไม่ได้ตามที่ต้องการก็จะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

3) พรรคการเมือง “เพื่อไทย” มีหน้าที่ทำงานในสภา เพื่อหาทางปั่นป่วนการประชุมสภา การบริหารราชการ เตะตัดขาทุกวิถีทาง ตั้งแต่ไม่เข้าประชุม ขัดขวางการประชุม หรือเวลาประชุมก็ใช้วิธีประท้วง กระทู้ยุแหย่ กล่าวร้าย โกหกบิดเบือน โดยที่การพัฒนากฎหมาย ญัตติ และการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน มิได้เป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย รัฐสภาและฝ่ายนิติบัญญัติ จึงกลายเป็นตัวถ่วง ไม่ให้ประเทศเดินหน้า ฝ่ายบริหารต้องพะวงอยู่กับการแก้เกมในสภา เสียทั้งเวลา เสียทั้งงบประมาณของรัฐสภา

ส.ส.พรรคเพื่อไทย ก็ผลัดเปลี่ยนขึ้นเวทีการแสดงของ 3 เกลอ โดยไม่เลือกว่าสิ่งที่พูดบนเวที จะขัดแย้ง เหมาะสมกับการทำหน้าที่ของ ส.ส.และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือไม่

ทั้ง 3 ส่วนข้างต้น มีแนวร่วมผสมโรง อย่างน้อย 3 ฝ่าย คือ

หนึ่ง พวกที่จงรักภักดีกับทักษิณ ที่หวังได้ประโยชน์และเคยได้ประโยชน์จากระบอบทักษิณ

สอง พวกอุดมการณ์ล้มเจ้า คอมฯ เก่า ที่ยังหลงยุคในปัจจุบัน มุ่งหวังยืมมือและคนของระบอบทักษิณ โดยหวังจะพลิกฟ้า คว่ำแผ่นดินให้ได้ในระยะยาว พวกนี้จะฉลาดพอที่จะรู้ว่าการแตกหักในระยะสั้น การยุบสภาเลือกตั้งใหม่ คงไม่ช่วยให้อุดมการณ์ของตนเป็นจริงในเวลารวดเร็ว แต่การกัดเซาะ บ่อนทำลาย น่าจะเป็นเป้าหมายที่มุ่งหวังมากกว่า

สาม ทหารรับจ้าง ส.ส.รับจ้าง และผู้ชุมนุมรับจ้าง ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติของผู้รับจ้างที่ยินดีทำตามนายจ้าง พฤติกรรมจึงไม่สลับซับซ้อน ให้ไปชุมนุมที่ไหนก็ไป ให้ปฏิบัติการวินาศกรรมที่ไหนก็บอก และจะให้ปั่นป่วนสภาตอนไหน เมื่อใด ก็ขอให้บอก.. จะจัดให้..

ความซับซ้อนของการเมืองเรื่องอำนาจ และการชิงอำนาจในประเทศไทย จึงยากที่จะเข้าใจ และยากที่จะทำนายว่ามันจะ “ลงเอยอย่างไร?”

ผมได้รับบทความที่เขียนโดยอดีตนายทหารอาวุโส ผู้มีประสบการณ์ในการทำปฏิวัติรัฐประหารมาแล้วหลายครั้ง ผู้เข้าใจการเมืองไทยดีคนหนึ่ง จนสามารถผ่านการเลือกตั้ง ได้เป็นประธานวุฒิสภามาแล้ว

อ่านบทความแล้ว ก็ได้แต่เป็นห่วงบ้านเมือง และคงจะเหมือนกับเจ้าของบทความ ที่อยากเห็นบ้านเมืองสงบ มีสันติสุข ผมจึงขอคัดลอกบทความของ “พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร” มาให้อ่าน เพื่อจะได้ช่วยกันคิดอ่าน กระทำให้บ้านเมืองเกิด “สันติ” ดังนี้

“ยุทธวิธีของ พคท.ในเสื้อแดง

เมื่อ 3 เกลอไม่ใช่ตัวจริงของ พคท. ขั้นตอนต่อไปจึงเป็นการดำเนินการเพื่อทำลายขบวนการ 3 เกลอ เมื่อทำลาย 3 เกลอแล้ว ตัวจริงของ พคท.จะขึ้นมาเป็นผู้นำทางการเมืองในขั้นตอนต่อไป

สถานการณ์ปัจจุบัน แนวร่วม พคท.ยังคงพยายามรักษาสถานการณ์ไม่ให้ทักษิณชนะทางการเมือง เพราะต้องการรักษาทักษิณไว้เป็นแนวร่วมของ พคท.ต่อไป (ปล.3 เกลอถูกโดดเดี่ยวจาก พคท. บูลินบูโลของเสื้อแดง) ให้ 3 เกลอถูกรัฐบาลเล่นงานเพื่อเป็นเงื่อนไขให้มีการเคลื่อนไหวต่อ

3 เกลอเป็นวีรชนเอกชนที่อยากดัง แต่มีคุณสมบัติไม่พอที่จะเป็นผู้นำทางการเมือง (การทำลาย 3 เกลอ มาจากภายในเสื้อแดงที่ส่งข้อมูลให้รัฐบาลเพื่อทำลาย 3 เกลอ ให้เกิดเงื่อนไขเพื่อที่จะขึ้นมานำทางการเมืองของกลุ่มเสื้อแดงแทน 3 เกลอ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดภาพปรากฏโดยทั่วไปว่า 3 เกลอถูกประชาธิปัตย์ทำลาย ให้ส่งผลสู่การเกิดเงื่อนไขใหม่ กล่าวคือ ยอมเสีย 3 เกลอ เพื่อให้เกิดการต่อสู้ทั่วประเทศ และให้มีเงื่อนไขในการต่อสู้ต่อไป)

จตุพร และณัฐวุฒิ จึงเปรียบเป็นได้เพียงเศษแดนของ พคท. เป็นวีรชนที่ต้องเสียสละเพื่อให้การต่อสู้ดำเนินต่อไปได้

โดยขั้นตอนต่อไป อาจมีการลอบฆ่าผู้นำเสื้อแดง เช่น จตุพร ณัฐวุฒิ เพื่อใช้เป็นเงื่อนไขในการปลุกระดมมวลชนเสื้อแดงให้ลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง หรือเรียกได้ว่าเป็นการจัดฉากเพื่อสร้างการจลาจลครั้งใหญ่

หมายเหตุ : นี่คือแนวทางการสร้างเงื่อนไขใหม่ เพื่อให้เสื้อแดงมีเงื่อนไขในการลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง ซึ่งจะสามารถสู้ได้อีกระยะหนึ่ง ดังนั้น สิ่งที่อันตรายที่สุดคือ การก่อวินาศกรรม การก่อวินาศกรรมเป็นการต่อสู้ที่ไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่จะทำให้บ้านเมืองตกอยู่ในสภาพเดียวกับภาคใต้ คือ มีการเข่นฆ่ากันเป็นเรื่องปกติซึ่งเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน แต่การเมืองไม่เปลี่ยน อำนาจรัฐไม่เปลี่ยน

การก่อวินาศกรรม คือการรักษารูปการต่อสู้ เหมือนการต่อสู้ของนักมวยบนเวที ซึ่งตั้งการ์ดแสดงไว้เพื่อให้รู้ว่า “กูยังสู้อยู่บนเวที”

การก่อวินาศกรรมจึงเปรียบเสมือนการทุบรัฐบาลจนน่วม แล้วจึงประกาศแนวทางและนโยบายทางการเมืองของฝ่ายเสื้อแดง ดังนั้น พคท.จึงต้องชนะทางการเมืองเสียก่อน แล้วจึงสามารถประกาศเขตการปกครองตัวเองได้

- พคท.จึงต้องมีกองทัพเป็นของตัวเองเพื่อเป็นหลักประกันชัยชนะ

- มีการเมืองที่นำเสนอได้ เช่น รูปแบบการปกครองเพื่อนำเสนอผลประโยชน์สูงสุดจนส่งผลให้ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย

หมายเหตุ : สถานการณ์ การก่อวินาศกรรม จะเปลี่ยนแปลงเป็นการก่อการร้ายในกรุงเทพฯ และทั้งประเทศไทย ดังนี้

1. กรุงเทพฯ และปริมณฑล ก็จะมีสภาพคล้าย 3 จังหวัดภาคใต้ (นราธิวาส, ยะลา และปัตตานี)

2. กรุงเทพฯ จะมีสถานการณ์รุนแรงขึ้น ถ้าแก้ไขไม่ได้ ก็จะเป็นคล้ายไซ่ง่อน เวียดนามใต้ ก่อนสิ้นสภาพ

3. ประเทศไทยจะคล้ายเขมร 3 ฝ่าย และสิ้นระบอบการปกครองที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ถ้าวันนี้ ไม่แก้ด้วยประชาธิปไตยแบบธรรมาธิปไตย”

ไม่มีความคิดเห็น: