วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2553

ทางตันของ นช.ทักษิณ







การเคลื่อนพลของ ” ไพร่แดง” สร้างความปั่นป่วนให้กับคนกรุงเทพ เมื่อวันเสาร์ ที่ผ่านมา ต้องนับว่า ยิ่งใหญ่ เมื่อพิจารณาจากจำนวนคนที่เข้าร่วมถึง50,000 กว่าคน และสมใจนช.ทักษิณ ที่ต้องการสร้างความรุ้สึกชิงชังระหว่างชนชั้น เพราะการจราจรที่ติดขัดไปทั่วกรุงนานหลายชั่วโมง ทำให้อารมณ์ของคนกรุงเทพ คุกรุ่น ด้วยความชิงชัง

ไม่ได้ชิงชังต่อคนเสื้อแดง ที่ถูกจัดตั้ง กวาดต้อนให้มาถูกแดดแผดเผากลางถนนของเมืองหลวง กลับสมเพช สงสารด้วยซ้ำ แต่เป็นความชิงชังต่อ นช. ทักษิณ ที่ต้องจัดว่า เป็น ชนชั้น นายทุนใหญ่ ที่ใช้ชนชั้นล่างเป็นเครื่องมือ ในการทำลายประเทศไทย จับคนกรุงเทพเป็นตัวประกัน

แต่ต้องตั้งคำถามว่า So What ? แล้วยังไงละ ครั้งก่อน ไปกลับสะพานผ่านฟ้า –ราบ 11 ครั้งนี้ วิ่งเป็นวงกลม เหมือนรถเมล์สายรอบเมือง ก็ยังไม่เห็นว่า จะช่วยทำให้ นช.ทักษิณ รอดพ้นจากการติดตะรางในใจ และได้เงิน 46,373 ล้านบาทคืนมาได้อย่างไร



เป้าหมายของ นช. ทักษิณนั้น ต้องการขัดขวางการดำเนินชีวิตตามปกติของคนกรุงเทพ โดยหวังว่า คนกรุงเทพ จะไปกดดันรัฐบาลอีกต่อหนึ่ง นช. ทักษิณ ต้องการทำให้เกิดภาพว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี บริหารราชการแผ่นดิน ไม่ได้ เหมือนที่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เคยตกอยุ่ในสภาพเช่นนี้มาก่อน อันจะเป็นการทำลายความชอบธรรมของนายอภิสิทธิ์ นช. ทักษิณ ต้องการทำให้ เศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวขึ้นมา หยุดชะงัก เพราะตนเองเคยปรามาสนายอภิสิทธิ์มาก่อนว่า ไม่มีฝีมือในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ แต่ภายในเวลาเพียง ปีเดียว เศรษฐกิจไทยกลับฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และมีแนวโน้มว่า จะขยายตัวอย่างมากในปีนี้

จะเป็นเพราะเศรษฐกิจโลก หรือเป็นเพราะฝีมือ ของ นายอภิสิทธิ์ ก็ตามแต่ มันได้ ทำให้ นช. ทักษิณ ต้องงหุบปากเงียบ ในเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ

แต่คนกรุงเทพ ไม่ใช่ชนชั้น ไพร่ เหมือนคนเสื้อแดง คนกรุงเทพ คือ ชนชั้นกลาง ที่ยังชีพอยู่ด้วย เงินเดือน ค่าแรง คนกรุงเทพ ไม่ได้รู้สึกว่า ถูกกดขี่ ขูดรีด จากอำมาตย์ หรือเจ้าที่ดิน แต่รู้ดีว่า พวกที่เอารัดเอาเปรียบตนคือ พวกนายทุนใหญ่ แห่งระบบทุนนิยม โดยมี นช. ทักษิณ เป็นนายทุนใหญ่ที่สุด ที่ใช้การผูกขาดตัดตอน และใช้อำนาจรัฐ แสวงหาผลประโยชน์ที่ไม่เป็นธรรม

คนกรุงเทพไม่สนใจเรื่อง ไพร่- อำมาตย์ ไม่สนใจเรืองสงครามชนชั้น เพราะรู้ดีว่า เป็นเรื่องโกหกที่ นช. ทักษิณ กุขึ้นมาหลอกพวกไพร่แดง สังคมไทยเคลื่อนตัวจากสังคมเกษตรกรรม สู่อุตสาหกรรมนานแล้ว ผลผลิต และค่าจ้างแรงงาน มีสัดส่วนมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี และนับวันมีแต่จะเพิ่มสูงขึ้น สวนทางกับผลผลิตและค่าจ้างแรงงานในภาคเกษตรกรรม ที่ลดลงทุกปี สังคมไทยไม่ใช่สังคมศักดินา ที่มีอำมาตย์กับไพร่ แต่เป็นสังคมทุนนิยม ที่มีนายทุน กับผู้ใช้แรงงาน

ที่สำคัญคือ คนกรุงเทพรู้ดีว่า เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของ ขบวนไพร่แดง คือ การต่อสู้ฉากสุดท้ายของ นช. ทักษิณ เพื่อทวงอำนาจและทรัพย์สินคืน โดยมีเงื่อนไข การยุบสภา เป็นเรื่องบังหน้าเท่านั้น

ในขณะเดียวกัน ต้นทุนของนายสมชาย กับนายอภิสิทธิ์ก็ห่างกันอย่างลิบลับ ความพยายามที่จะสร้างภาพว่า นายอภิสิทธิ์ ไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้จึงไม่เป็นผล ราชการแผ่นดิน ที่คนเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องใส่ใจในช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมือง จะมีอะไรสำคัญไปกว่า การควบคุม ไม่ให้สถานการณ์บานปลาย ไปสู่ความรุนแรง เล่า ซึ่งนายอภิสิทธิ์ จัดการได้ดีกว่านายสมชาย หลายร้อยเท่า

นายอภิสิทธิ์กลับเปิดเกมรุกกลับ นช. ทักษิณ อย่างแหลมคม ด้านหนึ่ง ทอดสะพาน อ้าแขนตอบรับ การเจรจา กับไพร่แดง ที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน อาสาเป็นตัวเชื่อม เป็นการแสดงความจริงใจ ในการนำบ้านเมืองให้กลับคืนสู่ความปกติ พร้อมกันนั้น ก็เป็นการตอกย้ำให้สังคมเห็นชัดขึ้นว่า ใครคือ ผู้นำสูงสุด ของ ขบวนการไพร่แดง และมีเป้าหมายอะไร

อีกด้านหนึ่ง นายอภิสิทธิ์ เปิดเกมรุกด้านข้อมูลข่าวสาร โดยพุ่งเป้าไปที่ตัว นช. ทักษิณ โดยตรงว่า เป็นไพร่ หรือเป็นอำมาตย์ เป็นนักประชาธิปไตย แต่ทำไมประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย จึงไม่ต้อนรับ แต่กลับขึ้นบัญชี เป็นผู้ร้ายหนีคดีข้ามแดน

เป็นครั้งแรก ที่นายอภิสิทธิ์ “ อัด” นช. ทักษิณ อย่างตรงไปตรงมา

พร้อมกันนั้น นายอภิสิทธิ์ ก็ชี้ให้สังคมเห็นว่า เงื่อนไขการยุบสภาของ ขบวนไพร่แดง เป็นเรื่องบังหน้าเท่านั้น เจตนาที่แท้จริงคือ การช่วย นช. ทักษิณ ให้พ้นผิด และได้เงิน 46,373 ล้านบาทคืน

ดูไปแล้ว ก็เหมือน สังคมไทยจะถึงทางตัน แต่ความจริงแล้ว การชุมนุมของ ขบวนไพร่แดง เพิ่งเริ่มมาได้ เพียง 10 วันเท่านั้น เป็นเพียง หลักกิโลเมตรแรก เมื่อเทียบกับการชุมนุม ขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

คนไทยต้องอดทน อดกลั้น ให้เวลา ให้โอกาส ให้กำลังใจกับนายอภิสิทธิ์ อย่าตกเป็นเหยื่อของ นช. ทักษิณ ที่หวังจะให้เกิดความวุ่นวาย ในบ้านเมือง ใช้การชุมนุม เคลื่อนไหว บ่อนทำลาย การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจให้หยุดชะงัก เพื่อให้เกิดความไม่พอใจในตัวนายอภิสิทธิ์

“จนตรอก” กับ ”ถึงทางตัน” มีความหมายเหมือนกันคือ ไปต่อไม่ได้ ต้องหันกลับมาสู้ยิบตา เพื่อหาทางออกให้กับตัวเอง ดูเหมือนว่า ไม่ใช่ สังคมไทย แต่เป็น นช. ทักษิณ ที่ถึงทางตัน ต้องหันกลับมาแว้งกัด คนไทย เหมือนหมาจนตรอก อย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้

ไม่มีความคิดเห็น: